ศาลปกครองกลางยกคำร้อง นพ.สงคราม-พวก หลังขอให้ศาลสั่งปรับ ผอ.เขตปทุมวัน-พวก เหตุรื้อตึกซอยร่วมฤดีล่าช้า

ศาลปกครองมีคำสั่งเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.๕๘๘/๒๕๕๗ ระหว่าง นายแพทย์สงคราม ทรัพย์เจริญ ที่ ๑ กับพวก รวม ๒๔ คน ผู้ฟ้องคดี กับ ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ที่ ๑ กับพวก รวม ๒ คน ผู้ถูกฟ้องคดี และบริษัท ลาภประทาน จำกัด ที่ ๑ กับพวก
รวม ๒ คน ผู้ร้องสอด

คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และ/หรือที่ ๒ ใช้อำนาจตามมาตรา ๔๐ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ดำเนินการกับผู้ร้องสอดทั้งสอง แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ต่อมา ผู้ฟ้องคดี ทั้งยี่สิบสี่ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งในชั้นบังคับคดี เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมิได้ปฏิบัติตาม คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด โดยปฏิบัติล่าช้าเกินสมควร

ศาลปกครองกลางซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจในชั้นบังคับคดี พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ภายหลังจากที่ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งในชั้นบังคับคดีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และ/หรือที่ ๒ ปฏิบัติตามคำพิพากษา ของศาลปกครองสูงสุดให้ครบถ้วน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงได้มีคำสั่งตามมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ กับผู้ร้องสอดทั้งสอง ให้รื้อถอนอาคารทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง แต่เมื่อครบกำหนดเวลา ผู้ร้องสอดทั้งสองไม่มีการรื้อถอนอาคาร และผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยังไม่ได้ใช้อำนาจตามมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ในการเข้ารื้อถอนอาคาร จึงถือเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตาม คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดแล้ว แต่ยังไม่ถูกต้องครบถ้วนและได้ปฏิบัติล่าช้า

อย่างไรก็ตาม เมื่อความล่าช้านั้น เกิดจากการที่อาคารของผู้ร้องสอดทั้งสองมีลักษณะเป็นอาคารสูง และขนาดใหญ่พิเศษ อีกทั้งสภาพแวดล้อมโดยรอบของอาคาร ประกอบด้วยบ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ สถานรับเลี้ยงเด็ก และถนนสาธารณะที่มีรถผ่านเข้าออกตลอด การดำเนินการรื้อถอนจึงต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและมีผู้ชำนาญการเข้ามาดำเนินการ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีการอนุมัติงบประมาณในการรื้อถอนอาคารเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โดยจะมีการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนของกฎหมาย มีกำหนดระยะเวลารื้อถอนอาคารประมาณ ๓๖๕ วัน จึงเห็นได้ว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดล่าช้า มิได้เกิดจากการจงใจแต่เพราะมีเหตุอันสมควร

ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งในชั้นบังคับคดี ดังนี้

(๑) ยกคำร้องของผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสี่ ที่ขอให้ศาลสั่งปรับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองและแจ้งผู้บังคับบัญชาเพื่อลงโทษทางวินัยกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง

(๒) ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดให้ครบถ้วน โดยใช้อำนาจตามมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ดำเนินการกับผู้ร้องสอดทั้งสองต่อไป

(๓) ให้สำนักบังคับคดีปกครองติดตามการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด และรายงานให้ศาลปกครองกลางทราบทุกระยะจนกว่าจะมีการปฏิบัติครบถ้วน

(๔) หากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดให้ถูกต้องครบถ้วน หรือปฏิบัติล่าช้าเกินสมควร ศาลจะไต่สวนเพื่อมีคำสั่งปรับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองและแจ้งผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัยกับผู้ถูกฟ้องคดี ทั้งสองต่อไป