หมอประสิทธิ์ ตอบ ประเทศไทยเข้าสู่การระบาดรอบ 5 หรือยัง ?

หมอประสิทธิ์ ชี้การ์ดไม่ตก ผู้ติดเชื้อโควิดใหม่ลดแน่หลัง ต.ค.

หมอประสิทธิ์ เผยสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ หลังเริ่มผ่อนคลายมาตรการ ขอการ์ดอย่าตก พร้อมตอบคำถาม ประเทศไทยเข้าสู่การระบาดรอบ 5 แล้วหรือยัง ?

วันที่ 15 กันยายน 2564 มติชน รายงานว่า ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ถึงแนวโน้มสถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทย ที่ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเริ่มลดลงจากช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ว่า จากการเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ผ่านมา 2 สัปดาห์ พบว่ามาตรการต่าง ๆ ทำได้ดีทั้ง 3 ด้านคือ

  1. มาตรการวัคซีนที่ทำได้ดี ไม่หลุดเป้าหมายการฉีดวันละ 4 แสนโดส
  2. มาตรการบุคคล การสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ ก็ทำได้ดี แม้มีบางส่วนที่พบว่าไม่ได้ทำตามกำหนดอย่างที่เห็นการติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ เช่น งานศพ และ
  3. มาตรการสังคมและการบริหาร จะพบว่าสามารถดำเนินการได้ดี มีการผ่อนคลายมาตรการบ้าง เช่น การนั่งรับประทานอาหารในร้านได้ 50% แต่ก็เห็นได้ว่าหลายๆ ร้านอาจไม่ได้ทำตามที่ตกลง ซึ่งเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า การติดเชื้อใหม่ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน 2564 ที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการ จากที่ดูการพลอตกราฟ (plot graph) พบว่า ตัวเลขคู่ขนานกับที่คาดการณ์ไว้ ถือเป็นกราฟที่สวย

“จึงขอให้ประชาชนที่ร่วมใจกันทำดีมาตลอด ให้ทำดีต่อไป เพื่อให้เราได้อยู่ในจุดที่วางใจได้ ส่วนตัวเลขที่สำคัญในการคาดสถานการณ์ คือ ผู้ป่วยหนัก และผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ขณะนี้ลดลงคู่ขนานกันต่อเนื่อง ทำให้เราเชื่อว่าตัวเลขการติดเชื้อใหม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า แม้ในการตรวจหาเชื้อด้วยแอนติเจน เทสต์ คิท (ATK) จะพบว่ามีประชาชนที่ตรวจแล้วเป็นผลบวกจำนวนมาก ซึ่งในหลักการ หากมีการฉีดวัคซีนได้ตามแผนไปต่อเนื่อง ผู้ป่วยเหล่านี้แม้ติดเชื้อแต่จะไม่มีอาการ โดยส่วนหนึ่งจะเข้าสู่ระบบการแยกกักตัวเองที่บ้าน (Home Isolation) เมื่อครบโปรแกรม 14 วัน จะมีภูมิต้านทานต่อโรคเพิ่มขึ้น

“อย่างเช่นในต่างประเทศ ที่มีการฉีดวัคซีนเยอะ ๆ มากกว่า ร้อยละ 70 ของประชากร เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องตัวเลขติดเชื้อใหม่ แต่ให้ความสำคัญว่า ผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาล (รพ.) และการเสียชีวิต
ดังนั้น ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 แต่ก็อยากขอให้ทุกคนร่วมใจกันเฝ้าระวังต่อไปอีกสัก 1 เดือน ตัวเลขก็จะแกว่ง ๆ ในระดับ 10,000 ต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง

แต่ถ้ามาตรการวัคซีน บุคคล และสังคม ยังทำได้ดีต่อเนื่อง เราจะเห็นตัวเลขสวย ๆ ได้ แต่ให้ผ่านพ้นเดือนหน้า (ตุลาคม) ไปก่อน ซึ่งในเดือนตุลาคมนี้ เราจะมีวัคซีนโควิด-19 เข้ามามากขึ้น คาดว่าถึง 20 ล้านโดส ดังนั้น ณ วันนี้ที่เราฉีดวัคซีนกันมากกว่า 40 ล้านโดสแล้ว เมื่อรวมกับเดือนหน้าที่เราจะฉีดได้มากขึ้น ก็ทำให้สบายใจได้ แต่ก็ยังไม่สามารถผ่อนมาตรการป้องกันตัวเองลงได้” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่ายังต้องเร่งมาตรการวัคซีนให้มากขึ้น เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด แต่ต้องทำควบคู่กับมาตรการส่วนบุคคลที่ต้องเข้มข้น ไม่ผ่อนไปตามมาตรการที่ผ่อนคลายไป ซึ่งจากการติดตามตัวเลขในประเทศที่เข้าสู่สถานการณ์ปกติแล้ว มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 สูงถึง ร้อยละ 70 ของประชากร และเข็มที่ 2 ถึง ร้อยละ 60 เป็นตัวเลขใกล้เคียงกัน

“ไม่ใช่ว่าเข็มที่ 1 สูง ร้อยละ 70 แต่ฉีดเข็มที่ 2 ได้แค่ ร้อยละ 20 แบบนี้ก็ยังไม่สามารถเข้าสู่ภาวะปกติได้ เพราะยืนยันว่าสำหรับเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า วัคซีนเข็มเดียวเอาไม่อยู่ ต้อง 2 เข็ม แม้จะเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรก ก็เอาไม่อยู่ ดังนั้นสถานการณ์ปกติของไทยยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ ใจผมยังอยากให้เฝ้าระวังต่อเนื่องอีก 1 เดือนเป็นอย่างน้อย

โดยเฉพาะ 4 เสี่ยงที่เคยย้ำเตือน คือ คนเสี่ยง สถานที่เสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง และช่วงเวลาเสี่ยง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีวันหยุดยาว ดังนั้น ขณะนี้เราผ่อนมาตรการมาแล้ว ก็เป็นการเพิ่มกิจกรรมเสี่ยง ดังนั้น ต้องเข้มใน 2 เสี่ยง คือ คนและสถานที่เสี่ยง ต้องทำให้ลดลงมากที่สุด” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

เมื่อผลตรวจ ATK เป็นลบ

ผู้สื่อข่าวถามถึงความเชื่อมั่นในการตรวจหาเชื้อด้วย ATK ที่ให้ผลลบ ซึ่งประชาชนหลายคนมองว่า หากตรวจแล้วเป็นลบ ก็สามารถออกไปพบเจอกันได้ รับประทานอาหารร่วมกันได้ เราสามารถใช้ส่วนนี้เป็นบรรทัดฐานสังคมได้หรือไม่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับสายพันธุ์เดลต้า การศึกษาในต่างประเทศพบว่า แม้ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังมีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้อยู่ จากการศึกษาพบว่า ปริมาณเชื้อในโพรงจมูกของผู้ที่ติดเชื้อที่รับวัคซีนแล้ว กับที่ยังไม่รับวัคซีน มีจำนวนไวรัสที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้น เรายังวางใจไม่ได้แม้จะรับวัคซีนมาแล้ว

“หลายคนคิดว่าฉีดวัคซีนแล้ว ตรวจ ATK เป็นลบแล้ว จะถอดหน้ากากอนามัย คิดแบบนั้นไม่ได้เลย เพราะเป็นความเสี่ยงมาก ซึ่งอย่างไรก็ตาม ยังต้องสวมหน้ากากอนามัยเข้มงวดต่อไป ให้เป็นสิ่งที่ติดตัวตลอด ทำตลอดเวลาเป็นวิถีใหม่ เพราะขณะนี้โรคโควิด-19 อยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายจากโรคระบาด เป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ให้ได้ มันจะอยู่กับเราไปตลอด จริง ๆ ก็สามารถทำได้ในการตรวจ ATK ที่มีความไวและความจำเพาะของชุดตรวจอยู่ที่ ร้อยละ 90 ก็ยังไม่ถึง ร้อยละ 100

ดังนั้น การจะตรวจด้วย ATK แล้วเป็นลบ จึงไปพบกันรับประทานอาหารร่วมกันที่ร้าน ก็ทำได้ แต่ขอให้แยกกันรับประทานอาหาร และเมื่อเสร็จแล้วให้รีบสวมหน้ากากอนามัยทันที แต่หากเป็นการนัดไปรับประทานอาหารที่บ้าน ก็จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการทำให้บ้านเป็นสถานที่เสี่ยง แต่คำแนะนำที่ดีที่สุด คือ การซื้ออาหารกลับไปรับประทานที่บ้าน แยกกันรับประทานจะดีที่สุด เพื่อป้องกันโรค และคนในครอบครัว” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

ประเทศไทยเข้าสู่การระบาดรอบ 5 หรือยัง ?

เมื่อถามว่าหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่การระบาดรอบ 5 แล้ว ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องบอกว่าการประเมินสถานการณ์โรคโควิด-19 ต้องดูจากข้อมูลจริง ไม่ใช้ความรู้สึก ตนดูข้อมูลมาตลอด ไม่จำเป็นต้องปิดบังข้อมูล โดยเฉพาะตัวเลขการติดเชื้อใหม่ที่เห็นได้ว่าลดลงต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงการตรวจพบเชื้อแต่เป็นจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาล เช่น รพ.บุษราคัม ก่อนหน้านี้เคยเปิดถึง 3,000 เตียง แต่ขณะนี้เหลือไม่ถึง 100 เตียง ก็เป็นข้อมูลจริงที่เกิดขึ้น

“หากเราจะบอกว่าเข้าสู่การระบาดรอบ 5 ต้องบอกว่า เฝ้าระวังการเข้าสู่ระบาดรอบ 5 จะดีกว่า เพราะตอนนี้ตัวเลขติดเชื้อและสถานการณ์ผู้ป่วยก็ลดลงจริง เราไม่ได้แอบตัวเลขอะไร เพราะที่รายงานกัน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ปอดอักเสบ รายงานเข้าระบบมาก็เพื่อการจัดส่งยา เราก็รายงานตามสถานการณ์จริง ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าเข้าระบาดรอบ 5 ก็จะย้อนแย้งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากจะมีสายพันธุ์ใหม่เข้ามาที่แพร่เชื้อเร็ว หรือรุนแรงกว่าเดิม” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว


เมื่อถามว่าในเดือนตุลาคม เราจะเห็นตัวเลขการติดเชื้อใหม่ พุ่งสูงขึ้นเป็นหลัก 20,000 รายหรือไม่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องก็ย้อนกลับไปดูถึงความเสี่ยงที่สำคัญ คือ คน สถานที่ กิจกรรม และช่วงเวลาเสี่ยง ถ้าความเสี่ยงใดเพิ่มขึ้น ก็มีสิทธิกลับมาพบการติดเชื้อสูงขึ้นได้อย่างแน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลดความเสี่ยงในบุคคล ถ้าเรายังยึดการป้องกันตัวเองขั้นสูง การ์ดยังไม่ตก ตัวเลขก็คงไม่เพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้แล้ว