รองผบ.ตร. ตั้งคณะทำงาน 7 ชุด วางแนวทางเอาผิดขบวนการครูจอมทรัพย์

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พล.ต.อ.ดร.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า หลังมีการประชุมหารือ วางแนวทาง ร่วมกับ พล.ต.ต.ธนาชัย ฤทธิเดชไพบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม และคณะทำงานดำเนินคดีเอาผิด ขบวนการรับจ้างทำผิดแทนครูจอมทรัพย์ โดยมีการสรุปวางแนวทางออกคำสั่งให้มีการตั้งคณะทำงานของพนักงานสอบสวน เป็น 7 ชุด ซึ่งระดมพนักงานสอบสวนจากพื้นที่ 3 จังหวัด สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร เพื่อพิจารณาดำเนินการเอาผิดกับบุคคลเกี่ยวข้อง ในขบวนการรับจ้างทำผิดแทน หลังมีการตรวจสอบเอกสารหลักฐาน รวมถึงพยานที่เกี่ยวข้อง ว่ามีขบวนการรับจ้างทำผิดแทนครูจอมทรัพย์ขึ้นจริง มีนายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง เป็นผู้จัดตั้งขบวนการ ในการว่าจ้าง นายสับ วาปี พร้อมพวก ไปรับผิดแทน ครูจอมทรัพย์ เพื่อให้พ้นผิด

โดยพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว 8 ราย มีคนที่ 1 นายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทครูจอมทรัพย์ และยังมีหลักฐานเป็นบุคคลสำคัญในการตั้งขบวนการรับจ้างทำผิดแทน คนที่ 2 คือ นายสับ วาปี อายุ 61 ปี ซึ่งเป็นคนที่ออกมายืนยันว่า เป็นคนขับรถชนตัวจริง คนที่ 3 คือ นางจัน วาปี อายุ 59 ปี ที่เป็นภรรยานายสับ วาปี คนที่ 4 คือ นายบุญเทิง วาปี อายุ 63 ปี คนที่ 5 คือ นายเลิศ วาปี อายุ 66 ปี คนที่ 6 คือ นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ อายุ 61 ปี พยานที่ยืนยันว่าเห็นเหตุการณ์ มีคนขับรถชนเป็นชาย คนที่ 7 คือ นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นสามีของครูจอมทรัพย์ และคนที่ 8 คือ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 55 ปี

ซึ่งมีการดำเนินคดีในข้อหาหลัก คือ ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน นายสับ วาปี อายุ 61 ปี เดินทางมารายงานตัว รับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งได้ให้การยืนยัน กับตำรวจว่า รับจ้างทำผิดจริง ส่วนรายอื่นๆ ยังไม่มีการรายงานเข้ามา

สำหรับการดำเนินคดี ได้วางแนวทางไว้ ทั้งหมด 7 ข้อหาหลัก ประกอบด้วย แจ้งความเท็จ ในท้องที่เกิดเหตุ 3 แห่ง มี สภ.เรณูนคร สภ.นาโดน และ สภ.เมืองนครพนม รวมเป็น 3 ข้อหา ส่วนข้อหาที่ 4 คือ เบิกความเท็จ ในชั้นไต่สวน 1 ข้อหา และชั้นพิจารณา อีก 1 ข้อหา ส่วนข้อหาที่ 6 คือ ร่วมกันเป็นอั้งยี่ช่องโจร และข้อหาที่ 7 คือ ข้อหาหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน รวมถึงหน่วยงานเกี่ยวข้อง โดยทั้งหมด จะมีการมอบหมายให้ คณะทำงาน ทั้ง 7 ชุดดูแล พิจารณาตรวจสอบเอกสาร พยานหลักฐาน ทั้งการให้การในชั้นพนักงานสอบสวน รวมถึงการเบิกความต่อศาล หากพบว่า บุคคลไหน ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเชื่อมโยงว่าร่วมขบวนการรับจ้างทำผิดแทนครูจอมทรัพย์ จะมีการพิจารณา แจ้งข้อหาแยกเป็นรายไป

ในแนวทาง 7 ข้อหาที่วางไว้ ซึ่งใครจะเข้าข่ายความผิดมากน้อย ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง แต่ในขั้นต้นข้อหาหลักที่จะต้องดำเนินคดี คือ ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนในข้อหาอื่นๆ จะต้องรอการสอบสวน พิจารณาเพิ่มเติมข้อกล่าวหา จากพยานหลักฐาน หลังผู้ถูกกล่าวหา มารายงานตัว รับทราบข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวน

ส่วนที่มาของการจัดตั้งขบวนการรับจ้างทำผิดแทน จากการสอบสวน พยาน และพฤติกรรม เชื่อมั่นว่ามาจากการหวังผลประโยชน์ เกี่ยวกับเงินชดเชยเยียวยา แก่ครูจอมทรัพย์ หลังพ้นโทษออกมา หากมีการร้องทุกข์รื้อฟื้นคดีสำเร็จ และสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นแพะ ในคดีขับรถชนคนตาย จะสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย รวมถึงได้รับเงินชดเชยเยียวยาจำนวนมาก ทำให้เป็นที่มาของการหวังประโยชน์ เพราะจากการประมาณการ คาดว่าจะมีตัวเลขสูงกว่าหลัก 10 ล้านบาท โชคดีที่ไม่ประสบความสำเร็จ

 

ที่มา : มติชนออนไลน์