สธ. แนะศูนย์พักพิงน้ำท่วม-ประชาชน เข้มมาตรการโควิด เน้นรักษาความสะอาด ถ่ายเทอากาศ ประเมินอาการความเสี่ยงพบอาการเกี่ยวกับระบบหายใจรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ พร้อมกาง 4 ยุทธศาสตร์สาธารณสุขช่วงน้ำท่วม ส่งต่อผู้ป่วย-จัดทีมอาสาดูแลผู้ป่วยติดเตียง-ปรับรูปแบบการบริการ-สื่อสารความรู้อนามัย
วันที่ 28 กันยายน 2564 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดอุทกภัยน้ำท่วม โดยมีสาเหตุมาจากพายุเตี้ยนหมู่ ส่งผลกระทบในวงกว้างกว่า 30 จังหวัด 145 อำเภอ 548 ตำบล 2,401 หมู่บ้าน รวม 71,093 ครัวเรือน พบเสียชีวิต 6 ราย และสูญหาย 2 ราย
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
อย่างไรก็ตาม ระหว่างเหตุการณ์น้ำท่วมยังคงวิกฤต อาจเกิดโอกาสการติดเชื้อโควิดเป็นคลัสเตอร์ในศูนย์อพยพน้ำท่วม จากการรวมตัวกันของประชาชนได้
ดังนั้น ผู้จัดการหรือควบคุมดูแลศูนย์พักพิงต้องดำเนินมาตรการป้องกันโควิด 2 ประการสำคัญ ได้แก่
1.จัดการสิ่งเแวดล้อม สุขลักษณะ สุขอนามัยและสุขาภิบาล เพื่อป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม โรคที่มากับอาหารและน้ำ และโรคโควิด เน้นทำความสะอาดพื้นผิว จัดระบบถ่ายเทอากาศ จัดการไม่ให้เกิดความแออัด
2.จัดการให้ผู้คนในศูนย์อพยพมีความปลอดภัย โดยผู้อพยพและผู้ให้การช่วยเหลือควรประเมินตนเอง หากมีอาการทางเดินหายใจให้รีบแจ้งบุคลากรทางการแพทย์ทันที โดยเฉพาะผู้ให้การช่วยเหลือควรหยุดการไปช่วยผู้ประสบภัยทันที
นอกจากนี้ ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ ซึ่งป้องกันทั้งโควิดและโรคอื่น ๆ หลีกเลี่ยงสัมผัสใบหน้า ไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน รับประทานอาหารสุกร้อน ไม่รวมกลุ่มรับประทานหรือจับกลุ่มพูดคุย สิ่งของบริจาคต้องมีความสะอาด หากดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคจะลดความเสี่ยงและโอกาสเกิดคลัสเตอร์ศูนย์พักพิง
ทั้งนี้ เบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ดำเนินการยุทธศาสตร์รับมือภาวะน้ำท่วม 4 ประการ คือ
1.สถานพยาบาลทุกแห่งเตรียมพร้อมให้บริการหรือนำส่งต่อผู้ป่วยไปสถานพยาบาลอื่นที่ปลอดภัยและพร้อมมากกว่าหากให้บริการไม่ได้ 2.ปรับการจัดบริการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ 3.ดูแลกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรังและติดเตียง ในพื้นที่ยากลำบากในการเข้าถึง โดยอาศัยทีมหมอครอบครัว อาสาสมัคร ภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม และ 4.สื่อสารสร้างความรอบรู้ จัดเตรียมให้บริการในเรื่องสุขอนามัย สุขาภิบาล และโรคที่มากับน้ำท่วม