กระทรวงสาธารณสุข แนะ 4 มาตรการช่วยลดการติดเชื้อโควิด เปิดกิจการกิจกรรมอย่างปลอดภัยฉีดวัคซีนให้ครบตามเป้าหมาย ตรวจ ATK และใช้มาตรการ COVID Free Setting
วันที่ 8 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (7 ต.ค.) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 11,200 ราย เสียชีวิต 113 ราย รักษาหาย 10,087 ราย และอยู่ระหว่างการรักษา 109,022 ราย ภาพรวมผู้ป่วยอาการรุนแรงและใส่ท่อช่วยหายใจลดลงต่อเนื่อง สถานพยาบาลยังมีเตียงเพียงพอ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- รักษาการอธิบดี DSI เปิดเงื่อนไข “ขนย้ายกากแคดเมียม” เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปิดกิจการกิจกรรมมากขึ้น หากไม่มีมาตรการรองรับ คาดการณ์ว่าผู้ติดเชื้อรายวันอาจเพิ่มขึ้นสูงถึง 3 หมื่นราย ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยถึงจุดสำคัญที่อาจจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นสูงมากหรือยังคงลดลงต่อเนื่อง
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า หากจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อและอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย ต้องดำเนินการ 4 มาตรการ ดังนี้
1.ฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 57.3 ล้านโดส เข็มแรกครอบคลุม 46.9% เป้าหมายคือ สิ้นเดือนพฤศจิกายนจะฉีดเข็มแรกให้ครอบคลุม 75% และเข็ม 2 ครอบคลุม 55% และสิ้นเดือนธันวาคมเข็มแรกครอบคลุม 85% และเข็ม 2 ครอบคลุม 70%
2.การป้องกันตนเองแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention)
3.การตรวจ ATK ในหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงประชาชนทั่วไป เพื่อให้ทราบผลเร็ว ช่วยให้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษารวดเร็วและลดการแพร่เชื้อต่อ
4.มาตรการ COVID Free Setting เพื่อให้การเปิดกิจการกิจกรรมต่าง ๆ มีความปลอดภัย ซึ่งทั้งหมดทุกคน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน จะได้ไม่ต้องกลับไปสู่การปิดกิจการกิจกรรมอีกครั้ง และหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน คาดว่าปี 2565 สถานการณ์ต่าง ๆ จะคลี่คลายมากขึ้น กลับไปใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มอลได้
“ส่วนการติดเชื้อในพื้นที่ชายแดนใต้ ขณะนี้ได้เร่งรัดเรื่องการควบคุมโรค โดยจัดส่งชุดตรวจ ATK ยาฟาวิพิราเวียร์ 1 ล้านเม็ด และวัคซีนลงไปเพิ่มอีกว่าแสนโดส พร้อมทั้งให้ประสานพื้นที่และผู้นำทางศาสนาเร่งทำความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนมารับวัคซีนมากขึ้น รวมถึงสร้างความตระหนักเรื่องมาตรการป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา และมาตรการ COVID Free Setting ด้วย” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการสำรวจของอนามัยโพล ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม-17 กันยายน 2564 ถึงมาตรการป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา จำนวน 5,978 คน พบว่าภาพรวมทำได้ตามมาตรการ 44% ส่วนการสวมหน้ากากเมื่ออยู่กับคนในบ้าน ทำได้ต่ำกว่าทุกมาตรการ คือ65% จึงต้องเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องนี้
สำหรับมาตรการสถานที่ปลอดโควิด (COVID Free Setting) ได้แก่ สถานที่ต้องมีการทำความสะอาด มีการระบายอากาศ เว้นระยะห่าง ลดการใช้ระยะเวลาทำกิจกรรมผ่านการประเมิน Thai Stop COVID Plus
ส่วนพนักงานและผู้รับบริการต้องมีภูมิคุ้มกันหรือไม่มีเชื้อ คือ รับวัคซีนครบโดส หรือตรวจด้วย ATK และมีการคัดกรองความเสี่ยงโดยกิจกรรมที่พบการติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ เช่น งานศพ ต้องงดการประกอบการอาหาร งดรับประทานอาหารร่วมกัน ไม่จัดมหรสพ งดการเล่นพนัน กำหนดระยะเวลางานที่จำเป็น จำกัดจำนวนคนเข้าร่วม, งานแต่งงาน ให้จัดงานขนาดเล็ก เน้นกิจกรรมที่สำคัญ ใช้ระยะเวลาให้สั้นที่สุด
เชิญเฉพาะคนใกล้ชิด จัดแบบเว้นระยะห่าง, งานประชุมสัมมนา ใช้เอกสารระบบออนไลน์ กระจายจุดลงทะเบียน กำหนดให้มีเซฟตี้โซน และตลาดสด ให้มีการระบายอากาศ มีทะเบียนแผงค้าผู้ขายและพนักงาน และมีผู้รับผิดชอบติดตามไทม์ไลน์ผู้ขายทุกราย เป็นต้น
ด้านนายแพทย์เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กล่าวว่า การฉีดวัคซีนในนักเรียนจนถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2564 ฉีดแล้วประมาณ 74,500 ราย
เนื่องจากช่วงนี้โรงเรียนหลายแห่งอยู่ระหว่างการสอบ จึงจัดฉีดวัคซีนตามความพร้อมของโรงเรียน ส่วนข้อกังวลอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ถือว่าพบต่ำมาก
โดยก่อนหน้านี้ที่มีการฉีดวัคซีนในเด็กที่มีโรคประจำตัวกว่าแสนราย พบเพียง 6 ราย แต่ต้องเตือนเพื่อให้สังเกตอาการในช่วง 1-5 วันหลังการฉีด หากมีอาการแน่นหน้าอก ใจสั่น หายใจเหนื่อย ให้บอกผู้ปกครองหรือครูเพื่อไปพบแพทย์ดูแลรักษา ซึ่งอาการดังกล่าวรักษาให้หายได้