“อนุทิน” ลั่น พร้อมเปิดประเทศพรุ่งนี้ สถานการณ์เชียงใหม่ ไม่กระทบแผน

“อนุทิน” ลั่นพร้อมเปิดประเทศ-โรงเรียน 1 พ.ย. ยันจังหวัดยอดติดเชื้อสูง ไม่กระทบท่องเที่ยว 

วันที่ 31 ตุลาคม 2564 จากกรณีกำหนดการวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 จะมีการเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศ พร้อมกับเปิดโรงเรียนนั้น ล่าสุด มติชน รายงาน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ที่โรงแรมบัดดี้โอเรียนทอล ริเวอร์ไซด์ ว่าในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ที่จะมีการเปิดโรงเรียน และมีการเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวนั้น

ถือว่าอยู่ในจุดที่จะต้องทำแล้ว ซึ่งมั่นใจว่าวัคซีนที่จัดสรรและฉีดให้กับประชาชนมีความครอบคลุม คนที่ฉีดวัคซีนแล้วจะลดการป่วยหนัก ลดการเสียชีวิตได้ ขณะเดียวกัน ก็มีการเตรีมความพร้อมทางด้านยาและเวชภัณฑ์ไว้รองรับ ด้วยซึ่งขณะนี้มีการพัฒนาระบบกักตัวที่บ้าน และชุมชน (Home Isolation /Community Isolation) เข้ามาเสริม ก็จะช่วยบรรเทาเรื่องเตียง ทำให้มีเตียง มีโรงพยาบาล (รพ.) รองรับผู้ติดเชื้อมีอาการสีเหลืองและสีแดง

“ปีที่แล้วเราไม่มีวัคซีนก็ยังผ่านมาได้ ตอนนี้เรามีวัคซีนแล้ว วัคซีนก็กำลังทำงานของมันอย่างเต็มที่ บวกกับการที่เราทุกคนปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคขั้นสูงสุด คือสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ เชื่อว่าจะมีความปลอดภัยมากขึ้น วันนี้ความพร้อมของรัฐบาลมีเต็มที่ แต่ถ้าได้รับความร่วมมือจากประชาชนในการประกอบกิจการ กิจกรรมที่ดีเราก็จะเดินหน้าไปได้” นายอนุทินกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดนำร่องท่องเที่ยวมีรายงานการติดเชื้อมากขึ้น จะกระทบกับแผนการเปิดเรียน เปิดประเทศให้คนเดินทางในพื้นที่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ไม่กระทบ ซึ่งเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้ลงไปดูพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และมีการพูดคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) เชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทุกคนมีความเข้าใจดี

“จ.เชียงใหม่ ก็เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก ประชากรมีประมาณ 1.7 ล้านคน ขณะนี้ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 1.2 ล้านคน ขณะนี้ผู้ว่าฯได้ปรับแผนการฉีดวัคซีนให้ได้มากกว่าร้อยละ 70-100 สธ.ก็พร้อมสนับสนุน ล่าสุด ได้ส่งวัคซีนลงไปอีกกว่า 7 แสนโดส ทางจังหวัดก็จะเร่งทยอยฉีดในเดือนพฤศจิกายนนี้ บวกกับมาตรการโควิดฟรี เซ็ตติ้ง ทุกฝ่าย ทั้งประเทศ เชื่อว่าจะลดความเสี่ยงลงไปได้มาก

“ขอว่าอย่าทำผิดหลัก ผิดมาตรการทางด้านสาธารณสุข หากเข้าใจเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ก็จะปลอดภัยมากขึ้น โอกาสเกิดสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดก็จะลดลง รัฐบาลตัดสินใจแล้วว่าจะทยอยเปิดประเทศเพื่อให้ปัญหาอื่นๆ คลี่คลาย เราก็ต้องเตรียมความพร้อม” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถามย้ำว่า มีรายงานว่าสถานการณ์การระบาดที่ จ.เชียงใหม่ ขณะนี้ เหมือนกับการระบาดในกรุงเทพมหานครช่วงที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก เช่น คลัสเตอร์ตลาด นายอุทินกล่าวว่า ตอนที่กรุงเทพฯมีการใช้ระบบระบบรักษาที่บ้านและในชุมชน (HI/CI) และระบบเขตสุขภาพต่างเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระเตียงล้นของกรุงเทพฯ ขณะนั้นยังไม่มีวัคซีนมากนัก ส่วน จ.เชียงใหม่ ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะเหมือนกับกรุงเทพฯ ที่มีการระบาด แต่สถานพยาบาลยังมีความพร้อม ทั้ง HI/CI ก็กำลังจัดตั้ง ที่สำคัญคือกระจายวัคซีนไปมากแล้ว เพราะฉะนั้นพื้นฐาน ต้นทุนระบบสาธารณสุขดีกว่ากรุงเทพฯ เมื่อ 3-4 เดือนก่อน ขอความร่วมมือประชาชนใช้ชีวิตหลังผ่อนคลายมาตรการด้วยความระวัง และปฏิบัติตามตรการ

เมื่อถามอีกว่า มีนักวิชาการ ภาคประชาชนกังวลเรื่องการเปิดนั่งดื่มแอลกอออล์ในร้านได้ เป็นการก้าวกระโดดเกินไป อาจจะเสี่ยงเกิดการระบาด และต้องปิดกันอีก นายอนุทินกล่าวว่า ต้องใช้โควิด ฟรี เซ็ตติ้ง ในร้านอาหาร สถานบันเทิง

“ได้ข่าวว่า ศบค. ผู้ว่าราชการจังหวัด จะมีการจัดชุดตรวจอย่างเข้มงวด หากไม่ทำตามก็จะมีการตักเตือน หรือปิดสถานที่ หากไม่เคารพ มีการดำเนินคดี ตรงนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความร่วมมือ เพราะรัฐบาลทราบดีว่านี่คือจุดเสี่ยง แต่การที่ไม่สามารถทำให้คนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติได้ก็เป็นความลำบากของคนอีกกลุ่มหนึ่ง เราต้องหาจุดสมดุลให้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปได้ โควิด ฟรี เซ็ตติ้ง สำคัญมากในช่วงหลังการเปิดประเทศ ซึ่งจะมีการตรวจเช็กอย่างเข้มงวด” นายอนุทินกล่าว

ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ภาคใต้ ว่า ขณะนี้ผ่านช่วงพีคของการระบาด และกำลังอยู่ในช่วงขาลงแล้ว เป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกฝ่ายในการควบคุมป้องกันโรค และประชาชนในพื้นที่มีความรู้ ความเข้าใจ และมีการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีจังหวัดที่ยังต้องจับตามองอยู่ อาทิ ตาก จันทบุรี ระยอง ชลบุรี เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช เป็นต้น ที่ยังมีการติดเชื้อจำนวนมาก ต้องเร่งควบคุมป้องกันโรค และจัดส่งวัคซีน