เปรียบเทียบโคโรนา 5 เชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวล ความสามารถในการแพร่เชื้อและแสดงอาการบางอย่าง ต่างอย่างไรกัน
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งพบเชื้อครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ปัจจุบันเชื้อมีการกลายพันธุ์จำนวนมาก ซึ่งมี 5 สายพันธุ์ ที่องค์การอนามัยโลก จัดให้เป็นเชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวล คือ สายพันธุ์อัลฟ่า (อังกฤษ) สายพันธุ์เบต้า (แอฟริกาใต้) สายพันธุ์แกมม่า (บราซิล) สายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) และสายพันธุ์ล่าสุด คือ สายพันธุ์โอไมครอน (แอฟริกาใต้)
- เปิดคำทำนาย “นางมโหธรเทวี” นางสงกรานต์ ปี 2567 ฝนตกในโลกมนุษย์ 30 ห่า
- Taobao Thailand เปิดเวอร์ชั่นภาษาไทย จุดพลุสินค้าจีนยกทัพบุกไทย
- น้ำมันทำอาหารใช้แล้วอย่าทิ้ง บางจากรับซื้อ กก.20 บาท เช็ก 162 จุดรับซื้อ
ขณะที่อีก 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์แลมบ์ดา (เปรู) และสายพันธุ์มิว (โคลอมเบีย) ที่สร้างความกังวลก่อนหน้านี้ ยังเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในความสนใจ (Virant of Interest) ซึ่งมีความร้ายแรงต่ำกว่า
โควิดสายพันธุ์โอไมครอน
สายพันธุ์ B.1.1.529 หรือสายพันธุ์โอไมครอน มีรายงานการพบครั้งแรกในทวีปแอฟริกา ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รับรายงานการพบสายพันธุ์นี้เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564
ปัจจุบัน “โอไมครอน” มีการพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนแล้วในทุกทวีป อย่างน้อย 32 ประเทศ และ 1 เขตปกครองพิเศษ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 ธ.ค. 2564) ดังนี้
ทวีปแอฟริกา : แอฟริกาใต้, บอตสวานา, มาลาวี, เอสวาตินี, โมซัมบิก, ซิมบับเว, เลโซโท, นามิเบีย, กานา
ทวีปยุโรป : อิตาลี, สหราชอาณาจักร, เดนมาร์ก, เยอรมนี, เบลเยียม, เนเธอร์แลนด์, สวิตเซอร์แลนด์, ตุรกี, สาธารณรัฐเช็ก, โปรตุเกส, ออสเตรีย, สวีเดน, สเปน, นอร์เวย์
ทวีปเอเชีย : ฮ่องกง, อิสราเอล, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ทวีปอเมริกา : สหรัฐอเมริกา, แคนาดา
ทวีปโอเชียเนีย : ออสเตรเลีย
ศบค.เผยอาการเบื้องต้นของผู้ติดเชื้อโอไมครอนว่า ยังไม่พบว่ามีความแตกต่างกับสายพันธุ์อื่นมากนัก บางรายมีอาการปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไม่สูญเสียการรับกลิ่น/รส อาการป่วยไม่รุนแรง นอกจากนี้ สายพันธุ์ชนิดนี้ อาจมีการหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญ และพบว่ามีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้สูงขึ้น
โควิดสายพันธุ์อัลฟ่า
สายพันธุ์ B.1.1.7 หรือสายพันธุ์อัลฟ่า พบที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีการรายงานไปยังองค์การอนามัยโลกครั้งแรกในเดือนกันยายน 2563 โดยสายพันธุ์นี้สามารถกลายพันธุ์ได้ถึง 17 ตำแหน่ง โดยหนึ่งในจุดที่พบการกลายพันธุ์คือโปรตีนส่วนหนามของไวรัส ซึ่งทำให้เชื้อไวรัสจับกับเซลล์ของมนุษย์ได้ดีขึ้น แต่วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังสามารถต่อต้านสายพันธุ์นี้ได้
มีการพบการติดเชื้อในประเทศไทยครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2564 โดยนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยข้อมูลการรายงานขององค์กรสาธารณสุขประเทศอังกฤษ (Public Health England) และองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าสายพันธุ์อัลฟ่า (อังกฤษ) เป็นสายพันธุ์ที่มีการแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมถึง 1.7 เท่า
อาการโควิดอัลฟ่า
- มีไข้ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป
- เจ็บคอ
- หายใจหอบเหนื่อย
- ปวดตามร่างกายและศีรษะ
- การรับรสหรือการได้รับกลิ่นผิดปกติ
หากพบอาการข้างต้น ให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจให้ได้ผลที่แน่ชัด
โควิดสายพันธุ์เบต้า
สายพันธุุ์ B.1.351 หรือสายพันธุ์เบต้า พบครั้งแรกที่แอฟริกา และมีการรายงานไปยังองค์การอนามัยโลกครั้งแรก เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 เป็นการกลายพันธุ์จากสายพันธุ์ที่พบในประเทศอังกฤษ ซึ่งอาจทำให้มีความสามารถในการหลบหนีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดิมหรือแม้กระทั่งวัคซีนได้
พบการระบาดในประเทศไทยครั้งแรก ในพื้นที่ภาคใต้ จากอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส โดยได้รับเชื้อจากผู้ลักลอบเข้าเมือง และพบผู้ติดเชื้อครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2564
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า สายพันธุ์เบต้ามีการแพร่กระจายเชื้อไม่รวดเร็วเท่าสายพันธุ์เดลต้าและอัลฟ่า แต่อย่างไรก็ตาม สายพันธุ์เบต้าอาจทำให้เกิดอาการป่วยหรือเสียชีวิตได้มากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม
อาการโควิดเบต้า
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- เจ็บคอ
- ท้องเสีย
- ปวดศีรษะ
- ตาแดง
- การรับรสหรือการได้รับกลิ่นผิดปกติ
- มีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง หรือนิ้วมือนิ้วเท้าเปลี่ยนสี
โควิดสายพันธุ์แกมม่า
สายพันธุ์ P.1 หรือสายพันธุ์แกมม่า (Gamma) ถูกพบที่ประเทศบราซิล มีการรายงานไปยังองค์การอนามัยโลกครั้งแรก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 สายพันธุ์นี้มีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ เชื้อสามารถทะลุเข้าสู่เซลล์ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถเอาตัวรอดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ มีโอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำได้ นอกจากนี้ยังพบว่าวัคซีนบางชนิดมีประสิทธิผลน้อยลง เมื่อต้องเผชิญกับเชื้อสายพันธุ์นี้
อาการโควิดแกมม่า
- ปวดหัว
- เจ็บคอ
- มีน้ำมูก
- ไม่ค่อยพบการสูญเสียการรับรส
- อาการคล้ายเป็นหวัดธรรมดา
หากรู้สึกไม่สบาย คล้ายเป็นหวัด ให้สังเกตตัวเอง หากมีอาการน่าสงสัยให้รีบไปพบแพทย์
โควิดสายพันธุ์เดลต้า
สายพันธุ์ B.1.617.2 หรือสายพันธุ์เดลต้า ถูกพบครั้งแรกในประเทศอินเดีย รายงานไปยังองค์การอนามัยโลกครั้งแรก เมื่อเดือนตุลาคม 2563 สายพันธุ์นี้มีความแตกต่างจากสายพันธุ์อื่น เนื่องจากพบการกลายพันธุ์คู่ ที่อาจทำให้ไวรัสติดต่อได้ง่ายขึ้น หรือหลบระบบป้องกันในร่างกายมนุษย์ได้ดีขึ้น
โควิดสายพันธุ์เดลต้า ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รายงานเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อจำนวน 661 ราย โดยโควิดสายพันธุ์นี้ถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย พบการแพร่กระจายไปแล้วกว่า 92 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังถูกจับตามองว่าเป็นโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่จะมาแทนที่สายพันธุ์อัลฟ่าที่กำลังเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศไทยในขณะนี้
ส่วนการพบเชื้อในประเทศไทยครั้งแรกที่บ้านพักคนงานย่านหลักสี่ ข้อมูลผู้ติดเชื้อจากการรายงานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (22 มิ.ย.) พบผู้ติดเชื้อจำนวน 661 ราย โดยจังหวัดที่พบมากสุด คือกรุงเทพมหานคร
อาการโควิดเดลต้า
- ปวดหัว
- เจ็บคอ
- มีน้ำมูก
- ไม่ค่อยพบการสูญเสียการรับรส
- อาการคล้ายเป็นหวัดธรรมดา
หากรู้สึกไม่สบาย คล้ายเป็นหวัด ให้สังเกตตัวเอง หากมีอาการน่าสงสัยให้รีบไปพบแพทย์
อัลฟ่า |
เบต้า | แกมม่า | เดลต้า | โอไมครอน | |
ลักษณะอาการ |
อาการคล้ายกันไม่สามารถบอกสายพันธุ์อาการเพียงอย่างเดียวได้ |
เบื้องต้นบังไม่พบว่ามีความแตกต่างบางรายระบุว่ามีอาการปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไม่สูญเสียการรับกลิ่น/รส ซึ่งอาการป่วยไม่รุนแรง |
|||
ความเร็วในการแพร่โรค |
เพิ่มขึ้น 50-75% | เพิ่มขึ้น50% | เพิ่มขึ้น2.5 เท่า | เพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์อัลฟ่า 60% |
คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากสามารถแทนที่สายพันธุ์เดลต้าในประเทศแอฟริก้าใต้ ได้อย่างรวดเร็ว |
โอกาสการติดเชื้อแบบทวีคูณ |
1.74 | ~1.1 | 2.6 | 5.08 |
คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า Wild Type ยังไม่มีข้อมูลที่หลักฐานยืนยัน |
ความรุนแรง |
น่าจะเพิ่มขึ้น | เพิ่มขึ้น | เพิ่มขึ้น | เพิ่มขึ้น |
ยังไม่มีข้อมูล ผู้เชียวชาญระบุว่า “วัคซีนไม่สามารถป้องกันอาการรุนแรงได้” |
ระยะฟักตัว |
เฉลี่ย 5-6 วัน |
เฉลี่ย 4.3วัน |
ยังไม่มีข้อมูล |
||
ผลต่อความคุ้มกัน |
ไม่มี-น้อยมาก | ปานกลาง | ปานกลาง | ปานกลาง |
อาจหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ อย่างมีนัยสำคัญ พบว่ามีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้สูงขึ้น |
ประสิทธิผลของวัคซีน |
J&J 57-72%
Novavax 40-60% |
Pz & Moderna 61% | Pz 96%
AZ 92% |
ยังไม่มีข้อมูล |