อดีตรองแม่ทัพภาค 3 “พลโทมนัส” เข้ามอบตัวคดีอาวุธสงคราม

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 7 ธ.ค.ที่กองปราบปราม(บก.ป.) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช รองผบช.ส. พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รองผบช.ภาค 1 พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รองผบก.น.1 พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบก.ป. พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ หัวหน้าส่วนปฏิบัติการ ฝ่ายกฎหมาย คสช. ได้รับการประสานจากพล.ท.มนัส หรือเสธ.หยอย เปาริก อายุ 68 ปี อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาเลขที่ 2695/60 ในฐานความผิดร่วมกันมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงคราม ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ไว้ในครอบครอง และความผิดฐานอั้งยี่ ซ่องโจร ว่า ประสงค์จะเข้ามามอบตัวที่กองปราบปราม

ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบก.ป. พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2. บก.ป. ได้ไปขออำนาจศาลอาญา เพื่ออนุมัติออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องกับการพบวัตถุระเบิดและเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก ในท้องที่จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นควรออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 5 ราย คือ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรมต.สำนักนายกรัฐมนตรี, นายชัยวัฒน์ หรือเปี๊ยก ผลโพธิ์ อายุ 49 ปี, นายสมเจตน์ หรือสน คงวัฒนะ อายุ 63 ปี, นายจักรรินทร์ หรือเสธ.ไก่ เรืองศักดิ์วิชิต อายุ 52 ปี

และพล.ท.มนัส หรือเสธ.หยอย ที่ประสงค์จะเข้ามามอบตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่พล.ท.มนัสเดินทางมาถึงกองปราบปราม พนักงานสอบสวนได้แสดงหมายจับ ซึ่งพล.ท.มนัสยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง แต่เรื่องอาวุธสงครามที่พบไม่เคยรู้เรื่อง และไม่รู้ว่ามันเป็นของใคร จากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัวเข้าห้องสอบสวนทันที

พล.ต.ต.ชยพล กล่าวว่า เมื่อปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตรวจพบอาวุธสงครามชนิดต่างๆได้ที่บริเวณบ่อบัวริมถนน หมู่ 15 ต.ฉิมพล อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ทั้งนี้คดีดังกล่าวพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สืบสวนจับกุมคนร้ายให้ได้โดยเร็ว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จึงสั่งการพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. ทำการสืบสวนพร้อมกับโอนสำนวนคดีจากสภ.ฉิมพลี มาให้กับกองปราบปรามรับผิดชอบ ประกอบกับพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ หัวหน้าส่วนปฏิบัติการ ฝ่ายกฎหมาย คสช. ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ 5 ผู้ต้องหา

อย่างไรก็ตามการสืบสวนสอบสวนพบหลักฐานและพยานบุคคล มีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์คดีอาวุธสงครามที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2557 ถึงปี 2560 จำนวนหลายคดี ในพื้นที่กรุงเทพฯ ประกอบด้วย ห้วยขวาง, ลาดพร้าว, บางเขน, มีนบุรี

พื้นที่จ.พระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย อ.ลาดบัวหลวง และอ.วังน้อย พื้นที่ จ.ปทุมธานี อ.คลองหลวง และพื้นที่จ.ฉะเชิงเทรา ต.ดอนฉิมพลี อ.บางน้ำเปรี้ยว นอกจากนี้ยังพบว่ามีความเชื่อมโยงเป็นขบวนการ จนนำไปสู่การขอศาลออกหมายจับบุคคลทั้ง 5 ราย

ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ขณะนี้พบความเชื่อมโยงเพียงแค่ 5 รายเท่านั้น หากพยานหลักฐานไปถึงบุคคลใดก็จะดำเนินการทันที เบื้องต้นจะสอบปากคำพล.ท.มนัสไว้เพื่อประกอบสำนวน โดยพนังงานสอบสวนได้ให้ประกันตัวในชั้นสอบสวนวงเงิน 2 แสนบาท ทั้งนี้จากการข่าวยังไม่พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ประมาทมีการวางมาตรการคุมเข้มต่อไป

ขณะที่พ.อ.บุรินทร์ กล่าวว่า ในส่วนของนายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร ที่พบว่าอยู่ในโครงข่าย แต่ไม่ได้เกี่ยวพันกับอาวุธสงครามที่พบในครั้งนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้นายวัฒนาประสานขอเข้ามอบตัวและให้การที่เป็นประโยชน์ จึงได้แจ้งข้อหา ก่อนคุมตัวเข้าโครงการคุมครองพยาน เนื่องจากนายวัฒนาเคยถูกดำเนินคดีและคุมตัวอยู่ในเรือนจำก่อนจะพ้นโทษออกมา

 

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์