ศักดิ์สยามรีโมเดลที่เช่าการรถไฟ 1.5 หมื่นสัญญา เน้นรายได้-ประโยชน์สูงสุด

ศักดิ์สนาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทย

วันที่ 22 เมษายน 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามนโยบาย เรื่อง ความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม

นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง นายปัญญา ชูพาณิชผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง นางสาวไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล กรรมการรถไฟฯ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ/คณะกรรมการบริหารบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด และผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เข้าร่วมการประชุม


มีผลการประชุม ดังนี้

1. การรถไฟแห่งประเทศไทยได้รายงานความก้าวหน้าการส่งมอบพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้กับบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด มีรายละเอียด ดังนี้

1.1 ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย มีสัญญาเช่าทั้งสิน 15,528 สัญญา แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มที่ดินที่มีสัญญาเช่าเดิม เช่น กลุ่มสัญญาเช่าที่ยังไม่หมดอายุสัญญา และสัญญาเช่าฝ่ายปฏิบัติการเดินรถเป็นคู่สัญญา เป็นต้น 

2) กลุ่มพื้นที่ว่าง (โครงการพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ หรือกลุ่มพื้นที่ออกจัดประโยชน์ใหม่) เช่น ที่ดินแปลงธนบุรี และที่ดินแปลงหัวหิน (โรงแรม) เป็นต้น

และ 3) กลุ่มที่ไม่ส่งมอบให้บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (บริษัทฯ) บริหาร ได้แก่ สัญญาเช่าหน่วยราชการ สัญญาทางเข้า – ออก สัญญาปักเสาพาดสาย และสัญญาลูกค้าขนส่งทางรถไฟ เป็นต้น

1.2 การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัทฯ มีแผนการดำเนินงานเพื่อกำหนดอัตราค่าบริหารดำเนินการ และลงนามในสัญญาจ้าง จะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้ในเดือนกันยายน ๒๕๖๕ ดังนั้น การรถไฟแห่งประเทศไทยสามารถเริ่มส่งมอบพื้นที่ให้บริษัทฯ ภายหลังจากการลงนามในสัญญา

1.3 ประโยชน์ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจะได้รับ คือ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ลดระยะเวลาการพิจารณาต่ออายุสัญญาเช่าหรือการออกจัดหาประโยชน์ใหม่ ลดต้นทุนการบริหารจัดการด้านบริหารทรัพย์สิน และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในการบริหารจัดการทรัพย์สิน

2. บริษัทฯ ได้รายงานผลการดำเนินงานในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สรุปรายละเอียดได้ดังนี้

2.1 บริษัทฯ ได้วางระบบที่เกี่ยวข้อง ถึงร่างระเบียบ/หลักเกณฑ์ รวมถึงศึกษาแนวทางการพัฒนาพื้นที่โครงการขนาดใหญ่ เพื่อเตรียมการเพื่อบริการทรัพย์สิน

2.2 เป้าหมายของการดำเนินธุรกิจ คาดว่าในปี 2566 จะมีประมาณการรายได้อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท และปี 2570 จะมีประมาณการรายได้อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท และในระยะ 30 ปี จะมีประมาณการรายได้รวม 600,00 ล้านบาท (ไม่รวมรายได้จากธุรกิจอื่นๆ จากการตั้งบริษัทลูก)

2.3 บริษัทฯ ได้มีการเริ่มศึกษาโครงการต่างๆ จำนวน 4 โครงการ มีรายละเอียด ดังนี้

2.3.1 โครงการรถแรมรถไฟหัวหิน : เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ จึงจำเป็นต้องทบทวนผลการศึกษาใหม่ และประเมินมูลค่าสิทธิการเช่าปัจจุบันและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงทรัพย์สินอื่นที่เกี่ยวข้องใหม่ ทั้งนี้ จะมีการเร่งรัดการส่งมอบพื้นที่เพื่อให้สอดคล้องกับบริษัทฯ สามารถเจราจากับผู้เช่าได้ เนื่องจากใกล้จะครบกำหนดสัญญา

2.3.2 โครงการธนบุรี : ถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์ทางการแพทย์ชั้นนำ และสังคมสีเขียว การจัดทำแผนแม่บทโครงการสถานีธนบุรี บริษัทฯ ได้เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการ และคณะทำงาน จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในการพัฒนาพื้นที่

2.3.3 โครงการบางซื่อ : การศึกษาโครงสร้างของ Smart City Company อยู่ระหว่างการจ้างที่ปรึกษาจัดทำแผน

2.3.4 โครงการพื้นที่ตลอดแนวเส้นทางพระรามเก้า (RCA – คลองตัน) : ปัจจุบันอยู่ระหว่างตรวจสอบสถานะของสัญญา และทำสรุปพื้นที่ที่สามารถจัดสรรได้

ซึ่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้รับทราบการดำเนินการและมีข้อสั่งการให้แก่หน่วยงานทั้ง 2 หน่วยงาน ดังนี้

1. ให้กระทรวงคมนาคมแต่งตั้ง คณะทำงาน ประกอบด้วย กรมการขนส่งทางราง สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง การรถไฟแห่งประเทศไทย บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการเร่งรัดการส่งมอบพื้นที่ให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน

2. การกำหนดตัวชี้วัดดำเนินการของบริษัทฯ อาจจะพิจารณาจากรายได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจะได้รับต้องมีสอดคล้องกับสถานการณ์ และความเป็นจริงของพื้นที่

3. การพัฒนาที่ดิน จะต้องใช้หลักการการพัฒนาที่จะต้องอิงจากความเหมาะสมในการพัฒนาให้ตรงกับศักยภาพของพื้นที่ ไม่ยึดติดกับการพัฒนารูปแบบเดิมๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแต่การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัทฯ