จี้รัฐขึ้นค่ารถโดยสารประจำทางตามดีเซลแพง เผยต้องปรับขึ้น 15 สตางค์/กม.

รถโดยสาร

นายกสมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทยแจงอัตราค่าโดยสารปัจจุบันกำหนดจากโครงสร้างต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลที่ลิตรละ 27.79 บาท มาตรการที่รัฐเสนอชดเชยน้ำมันดีเซลไม่สามารถสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องหยุดกิจการ วอนใช้โครงสร้างค่าโดยสารจากมติคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง ที่ออกมาบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2548 ที่กำหนด ค่าโดยสารขึ้น-ลง จากโครงสร้างต้นทุนจริงของน้ำมันดีเซล

วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 นายพิเชษฐ์ เจียมบุรเศรษฐ์ นายกสมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย เปิดเผยว่า มาตรการที่รัฐเสนอช่วยชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้ผู้ประกอบการลิตรละ 2 บาท วันละ 50-60 ลิตรต่อคัน ไม่สะท้อนความเป็นจริง เพราะน้ำมันปรับขึ้นถึง 5 บาทต่อลิตร (27 บาท เป็น 32 บาท) และระยะทางสายยาววิ่งถึง 600-700 กิโลเมตร ใช้น้ำมันประมาณ 250 ลิตร ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกภาระถึง 1,000 บาทต่อเที่ยววิ่ง (250X5)

ทั้งนี้ ควรนำมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางเมื่อปี 2548 ที่ประกาศอัตราขั้นบันไดเป็นฐานในการกำหนดอัตราค่าโดยสาร โดยอิงจากราคาน้ำมันดีเซล ถ้าขึ้นสูงถึง 1.12 บาทต่อลิตร จะมีการปรับขึ้นค่าโดยสารกิโลเมตรละ 1 สตางค์ ซึ่งผ่านการศึกษาวิเคราะห์มาอย่างรอบด้าน โดยได้ประกาศใช้ตามโครงสร้างดังกล่าวครั้งล่าสุด เมื่อ 22 เม.ย. 62 ถึงปัจจุบัน โดยอนุมัติให้ใช้อัตราค่าโดยสารกิโลเมตรละ 53 สตางค์ ซึ่งวันดังกล่าว ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 27.79 บาท แต่หลังจากนั้นราคาน้ำมันดีเซลปรับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

ล่าสุด ข้อมูล ณ 14 พ.ค. 2565 อยู่ที่ลิตรละ 31.94 บาทโดยผู้ประกอบการแบกรับภาระน้ำมันที่สูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการพยุงราคาน้ำมันดีเซลของกรมสรรพสามิตจะสิ้นสุดลงในวันที่ 20 พ.ค. 65 และมีแนวโน้มว่า ราคาน้ำมันดีเซลมีโอกาสพุ่งทะยานถึงลิตรละ 44 บาท ซึ่งเมื่อเทียบเคียงกับอัตราโครงสร้างค่าโดยสารจากมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง จะต้องปรับอัตราค่าโดยสารขึ้นถึง 15 สตางค์ต่อกิโลเมตร จึงจะสะท้อนต้นทุนที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการกิจการต่อไปได้

นายพิเชษฐ์ยังระบุด้วยว่า ค่าโดยสารรถประจำทางยังนับเป็นสินค้าและบริการประเภทเดียวที่ถูกกำหนดโดยรัฐให้มีการปรับราคาขึ้นและลง ซึ่งอ้างอิงจากโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซล โดยตั้งแต่ก่อน ธ.ค. 2549 ถึง เม.ย. 2562 มีการปรับขึ้นค่าโดยสารเพียง 4 ครั้ง แต่ปรับค่าโดยสารลงถึง 6 ครั้ง และหากนับย้อนไป 15 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าในภาพรวม รถโดยสารมีอัตราค่าโดยสารที่ลดลง 1 สตางค์ต่อกิโลเมตร ทั้งที่ต้นทุนทุกหมวดสูงขึ้นตลอดเวลา อาทิ ค่าแรงงาน ค่าอะไหล่ ค่าประกัน และรวมถึงค่าอุปกรณ์เสริมเพิ่มต่าง ๆ ที่รัฐกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องดำเนินการต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เมื่อปี 2561 กรมการขนส่งทางบกเคยว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ทำการศึกษาต้นทุนในการประกอบการขนส่ง เพื่อนำมาปรับโครงสร้างอัตราค่าโดยสารให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง เพื่อให้บริการขนส่งสาธารณะด้วยรถโดยสารประจำทางมีคุณภาพเป็นที่พึงพอใจของประชาชน

ซึ่งผลการศึกษาสรุปได้ว่า หากรัฐจะให้กิจการรถโดยสารพัฒนาได้ดังคาดหวังต้องมีการปรับค่าโดยสารขึ้น 30-45% แยกตามหมวดการเดินรถ ซึ่งกรมการขนส่งทางบกไม่เคยนำผลการศึกษาดังกล่าวมาทบทวนปรับใช้ให้เหมาะสมอีกเลย และไม่ได้ให้เหตุผลการไม่นำผลศึกษามาใช้เพื่อพัฒนากิจการรถโดยสารตามเป้าหมาย

นายพิเชษฐ์มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ให้พิจารณานำมติโครงสร้างอัตราค่าโดยสารขั้นบันไดของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางมาประกาศใช้ เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพราะกิจการเดินรถโดยสารมีต้นทุนคืออัตราค่าน้ำมันดีเซลถึงร้อยละ 50 โดยให้เร่งสร้างความเข้าใจกับภาคประชาชน ถึงความจำเป็นและเหมาะสมกับต้นทุนที่แท้จริง ช่วยพยุงให้กิจการรถโดยสารสามารถยืนหยัดพัฒนาให้บริการประชาชนอย่างมีมาตรฐานควบคู่ไป

“หากรัฐไม่เหลียวแลและแก้ปัญหาให้ถูกทาง ผู้ประกอบการรถโดยสารคงเดินหน้าประกอบกิจการและพัฒนางานบริการเคียงข้างวิถีสังคมไทยไปอย่างยากลำบาก” นายพิเชษฐ์กล่าว