วธ.หนุนประเทศลุ่มน้ำโขงสร้างเครือข่ายอนุรักษ์-พัฒนามรดกทางวัฒนธรรมของชาติ

นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวในการเป็นประธานเปิดและปาฐกถางานสัมมนานานาชาติ “การสร้างเครือข่ายเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง” ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) กรุงเทพฯ ว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ถือเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐาน ทำให้เกิดการพัฒนาการทางวัฒนธรรมของมนุษย์โดยมีพื้นที่อารยธรรมโบราณ 2 แหล่งใหญ่ของโลกคือจีนและอินเดียมาบรรจบกัน ก่อให้เกิดเป็นศิลปวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์และหลากหลายและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลและมีการพัฒนามาจนก่อให้เกิดวัฒนธรรมทั้งด้านสถาปัตยกรรม ภาษา วัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมและประเพณีในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงมีความคล้ายกัน อาทิ การจัดสร้างพระเมรุมาศ กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง เป็นต้น

นายวีระกล่าวอีกว่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองด้านศิลปวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เด่นชัดที่สุดคือ สถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ วิจิตรบรรจงและมีเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งหลายแห่งได้รับการขึ้นบัญชีมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) อาทิ นครวัด บุโรพุทโธ พระราชวังเว้ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร เป็นต้น ซึ่งโบราณสถานเหล่านี้นอกจากจะมีคุณค่าในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้แล้ว ยังเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณีอันทรงคุณค่าที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของผู้คนในพื้นที่

“การอนุรักษ์โบราณสถานที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงในท่ามกลางสภาพการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป ที่มีทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยจากการกระทำของมนุษย์ หากจะอาศัยศักยภาพของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่งแต่เพียงลำพังคงไม่เพียงพออีกต่อไปในการอนุรักษ์คุ้มครองและบริหารจัดการโบราณสถานอันทรงคุณค่าเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นเครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และความร่วมมือของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่องานอนุรักษ์ทางสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ในภูมิภาคนี้

อย่างไรก็ตาม การอนุรักษ์จะต้องอาศัยความร่วมมือจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม นอกจากการอนุรักษ์โบราณสถานให้คงความโดดเด่นเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแล้ว ยังช่วยสร้างรายได้จากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอีกด้วย อาทิ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวารที่มีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติมาเที่ยวปีละ 1.3 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศไทยปีละ 40 ล้านบาท และที่สำคัญจะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศให้แก่ประชาชนและชาวต่างชาติโดยผ่านสื่อต่าง ๆ อาทิ สื่อภาพยนตร์ที่ช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ อย่างภาพยนตร์เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ภูเขาไฟระเบิดถล่มเมืองบอมเบย์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นต้น