ผบ.ทอ. มั่นใจระบบป้องกันภัยทางอากาศดีมาก จะให้ยิงกลับก็แรงเกินไป

ภาพจาก มติชน

ผบ.ทอ. แจง ผมก็เดือดเหมือนกันบางทีอาจจะเดือดกว่า ชี้สภาพอากาศไม่ดี อาจจะมองไม่เห็นว่าล้ำ ยันระบบป้องกันภัยทางอากาศของเราดีมาก ขอให้เชื่อมั่น

วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณีเครื่องบินเมียนมาบินล้ำน่านฟ้าไทยเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา พลอากาศเอก นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ขึ้นสถานีเรด้าร์ ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ท่ามกลางสายฝน และอากาศ 13 องศา โดยมี พลอากาศเอกธนศักดิ์ เมตตะนันท์ รองผู้บัญชาการทหารอากาศ

พลอากาศเอกอลงกรณ์ วัณณรถ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ร่วมคณะ และ พลอากาศเอกคงศักดิ์ จันทรโสภา ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการควบคุมปฏิบัติการทางอากาศ (ผบ.คปอ.)ที่ รับผิดชอบสถานีเรดาร์ทั่วประเทศ

ทั้งนี้ได้รับทราบ รายงานการปฏิบัติหน้า เฝ้าตรวจชายแดน หลังจาก เหตุวานนี้ (30 มิ.ย. ฉ สถานีเรดาร์ ที่ดอยอินทนนท์ ก็สามารถจับความเคลื่อนไหว ของ เครื่องบิน Mig29 ของเมียนมาร์ ที่ใช้อาวุธโจมตีชนกลุ่มน้อย แนวชายแดนไทย-เมียนมา และบินล้ำ เข้ามาแดนไทย

ด้วยเช่นเดียวกับ สถานีเรด้าร์ที่กาญจนบุรี จึงได้รายงานไปยัง ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพอากาศ ดอนเมือง ก่อนที่จะมีการสั่งการให้เครื่องบิน F 16 จากกองบิน4 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ขึ้นทำการบินสกัดกั้น และลาดตระเวนรบทางอากาศ

ในโอกาสนี้ ผบ.ทอ. ได้สักการะสมโภชพระพุทธศาสดาประชานาถ องค์ประธาน หน้าตัก 20.20 นิ้ว และองค์หมายเลขมงคล หน้าตัก 10 นิ้ว จำนวน 15 องค์ ณ หอพระพุทธศาสดาประชานาถ สถานีรายงานดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ณ จุดสูงสุดของแผ่นดินไทย บริเวณสถานีรายงานดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ด้วย

ผบ.ทอ.ให้สัมภาษณ์ถึงข้อวิจารณ์การปฏิบัติงานของกองทัพอากาศ

จากนั้น ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้สัมภาษณ์ถึงข้อวิจารณ์การปฏิบัติงานของกองทัพอากาศ กรณีที่เครื่องบินรบประเทศเมียนมา ล้ำเข้ามาน่านฟ้าไทย ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ได้มีประชาชน และแฟนคลับแสดงความคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์กัน ว่าระบบป้องกันภัยทางอากาศดีหรือไม่ หรือ เครื่องบินของ ทอ.มีไว้ใช้ในการแสดงวันเด็กหรือเปล่า หรือ กระทั่งพูดว่า ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ กองทัพอากาศมีวิจารณญาณในการตัดสินใจช้าเกินไปหรือไม่

ผอ.ทอ.
ภาพจาก มติชน

ที่ท่านแสดงความเห็นก็มีส่วนถูกต้อง แต่ขอบอกว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศของเราดีมาก ไม่ใช่อย่างที่หลายคนแสดงทัศนะ เครื่องบิน และ นักบินของเราดี มีความรู้ มีประสบการณ์ และสุดท้ายการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็มีการตัดสินใจที่ดี ซึ่งการตัดสินใจที่ดีไม่ได้วัดกันที่ความรวดเร็ว แต่วัดกันที่ความสุขุมรอบครอบ

พล.อ.อ.นภาเดช กล่าว ผมจะบอกตามตรงว่า ผมก็เหมือนกับทุกท่าน ผมก็เดือดเหมือนกัน บางทีอาจจะเดือดกว่าพี่น้องประชาชนอีกด้วย สิ่งที่เราดำเนินการไปแล้ว เราได้ประสานติดต่อกับผู้บังคับบัญชาระดับสูง ของกองทัพอากาศเมียนมาร์ เพื่อขอให้กำกับดูแล ให้การปฏิการณ์อะไรก็แล้วแต่ ในเขตแดนของท่าน ขอให้อยู่ในขอบเขต อย่าได้ล่วงล้ำเข้ามา ซึ่งผมก็ได้รับทราบ ถึงคำขอโทษ และเหตุผล จริงเท็จอย่างไรก็ให้ว่ากันไปก่อน

“เขาให้เหตุผลว่า เมื่อวานช่วงนี้สภาพอากาศ ไม่ดีจริงๆ และเป็นการเกิดขึ้นครั้งแรก ที่ผ่านมา เขาก็ระมัดระวัง ประกอบกับภูมิประเทศ หากมองจากคนที่อยู่บนฟ้า บางทีอาจจะมองไม่เห็นว่า ได้ผ่านล้ำ หรือตัดผ่านเข้ามาในบ้านของคนอื่น ซึ่งเขตแดนไทย เมียนมาร์ ไม่ใช่สั้นๆ

การข่าวของเราที่ดี เราก็รู้ล่วงหน้า แต่ไม่ว่าเราจะรู้ล่วงหน้า หรือรู้เฉพาะหน้าจากเรดาร์ เราก็ส่งเครื่องบินขึ้นไป อย่างไรก็ตามภาพที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกร่วมกันของประชาชนชาวไทยที่ไม่ชอบ ถ้าผมเป็นเขาก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น ” พล.อ.อ.นภาเดช กล่าว

พล.อ.อ.นภาเดช กล่าวอีกว่า เรามีระบบเรดาร์ตรวจจับและมีสายข่าวที่ดี สามารถรู้ได้ว่า เขาจะปฏิบัติการเมื่อได ในพื้นที่ไหน หากรู้ล่วงหน้า ก็จะส่งเครื่องบินขึ้นไป ปฎิบัติการ Combat air patrol เพื่อแสดงท่าทีว่า พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ของเรา หรือหาก ตรวจพบ ก็จะส่งเครื่องบินขึ้นไปลาดตระเวนรบ รักษาเขต และ air interception

“ผมขอให้พี่น้องประชาชนได้เชื่อมั่นในกองทัพอากาศอย่างเช่นที่เคยเชื่อมั่นมาตลอด และโปรดไว้วางใจเรา ผมก็เป็นเหมือนทุกท่านนั่นแหละ ที่รักชาติ จึงขอให้ความเชื่อมั่นว่า เครื่องบินที่เราส่งขึ้นไป การขึ้นไปของนักบินของเรา ยังพบว่า ทางโน้น ยังมีความพลั้งพลาด ด้วยเจตนาจงใจ หรือไม่ ก็ตาม

เราจะดำเนินการในขั้นเด็ดขาด แต่ภายใต้ ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ใหญ่ ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และไม่ทำให้เรื่องใหญ่ ให้ใหญ่ขึ้นไปอีก” ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าว

เมื่อถามว่า หากมีอีกครั้งจะดำเนินการอย่างไร พล.อ.อ.นภาเดช กล่าวว่า โดยปกติการป้องกันภัยทางอากาศมี 3 ลำดับ 1. พิสูจน์ฝ่าย 2.สกัดกั้น และ3.ทำลาย แต่เมียนมาร์คือเพื่อน ถ้าเพื่อนพลั้งเผลอเดินตัดสนามหน้าบ้านแล้วเราจะไปยิงเขาตายเลยหรือ นั้นก็เกินไป เพราะฉะนั้นการปฏิบัติการที่เหมาะสม จึงขอให้อยู่บนพื้นฐานเพื่อนปฏิบัติต่อเพื่อน ตนเชื่อว่าขณะนี้เขาตระหนักในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแน่นอน

เมื่อถามว่า ในโซเชียลมีเดียได้พูดถึง F-35 หากมีประจำการในกองทัพอากาศไทย จะทำให้เมียนมาระมัดระวังการปฏิบัติการต่างๆกว่านี้หรือไม่ พล.อ.อ.นภาเดช กล่าวว่า ถ้าเราคิดจะมีของดี ตนไม่อยากให้คนไทยขัดขากันเองเพราะจะพลาดได้ ดังนั้น ขอให้ร่วมสนับสนุนให้ได้มาจะดีกว่า

ถึงแม้จะพลาด หรือไม่ได้ ก็ขอให้เป็นขั้นตอนที่สหรัฐไม่ขายให้จะดีกว่า ไม่ใช่ไปขัดขากันไปมา เราพลาดในการต่อสู้ในยกแรก แทนที่จะเป็นในยกสุดท้าย อยากให้คนไทยสามัคคีกันในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง ขออย่าโยงเรื่องเหล่านี้ เพราะไม่เกี่ยวอะไรกัน

เมื่อถามว่า ในช่วงเดือนนี้จะมีการประชุมชั้นกรรมาธิการ พิจารณางบประมาณ รวมถึง การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.อ.นภาเดช กล่าวว่า คุณสมบัติดีเด่น และข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างเครื่องบิน Generation ที่ 5 คือ F-35 กับ เครื่องบิน Generation ยุคที่ 4 ที่กองทัพอากาศมีมีข้อแตกต่างดังนี้

ภาพจาก มติชน

1.ล่องหนหายตัวได้ เปรียบเสมือนการมีผ้าคลุมวิเศษของ Harry Potter คลุมแล้วไม่มีใครเห็น ระบบเรดาร์มองไม่เห็น ซึ่งคุณสมบัติตัวนี้น่าสนใจ ถ้ามีไว้ใช้งาน เราจะได้เรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงมีไว้ป้องกัน เพราะประเทศใกล้บ้านเรามีแล้ว 2 การบินในท่าพิสดาร หรือขีดความสามารถบินได้หลากหลาย นำมาซึ่งยุทธวิธีและชัยชนะต่างๆ 3.มีระบบเซนต์เซอร์รอบตัว เช่น นักบินสามารถก้มมองทะลุถึงพื้นดินในขณะบินได้

4. สามารถบินเดินทางระยะไกลด้วยความเร็วเสียง เพราะความเร็วเป็นปัจจัยสำคัญของเครื่องบินรบ 5. สามารถเชื่อมโยงข้อมูลในอนาคต ที่เปรียบเสมือนยานอวกาศที่มียานลูก และถูกควบคุมด้วยยานแม่ นอกจากนี้เครื่องบินใน Generation ที่ 5 สามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเครื่องบินรบด้วยกันเองรวดเร็ว เป็นประโยชน์ก่อให้เกิดพลังอำนาจการรอบรู้มหาศาลจะส่งผลให้การดำเนินการใดๆก็ตามที่เกี่ยวกับการรบ ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ

“การที่เรามีเครื่องบินที่มีเทคโนโลยีใหม่ที่เราไม่เคยมีมาก่อนทำให้ทุกองคาไปยกเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และนั่นจะทำให้กองทัพอากาศของท่านหลุดพ้นจากภัยคุกคามคือความล้าสมัย ไปสู่ความทันสมัย นั่นคือสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการใช่หรือไม่ขอให้ช่วยกันร่วมจิตร่วมใจ เพื่อให้ได้มีของดีใช้”พล.อ.อ.นภาเดช กล่าว