รู้ว่าเสี่ยง…แต่อยากลอง เปิดผลสำรวจเด็กไทยกับภัยออนไลน์

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมกับมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ศูนย์ข้อมูลนโยบายสาธารณะเพื่อลดปัญหาจากการพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และสมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน เปิดเวทีเสวนา “เด็กและเยาวชน รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี” พร้อมเปิดผลสำรวจสถานการณ์เด็กไทยกับภัยออนไลน์

รู้ว่าอันตราย แต่เชื่อว่าเอาอยู่

“ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช” กรรมการผู้จัดการมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย และอนุกรรมการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ เปิดเผยผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างเด็กอายุ 9-18 ปีทั่วประเทศ 10,846 คน พบว่า 95.32% ตระหนักว่าอินเทอร์เน็ตมีภัยอันตรายหลายรูปแบบ เช่น การถูกล่อลวงล่วงละเมิดทางเพศ ถูกหลอกในการซื้อสินค้า เอาข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบ ติดเกมออนไลน์ 55% เชื่อว่าการหาเพื่อนออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญ และกว่า 70% รู้ว่าเพื่อนออนไลน์ไม่พูดความจริง นอกจากนี้ 61.39% คิดว่าการกลั่นแกล้งหรือละเมิดทางเพศจะไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง และ 74.91% เชื่อว่าจัดการปัญหาได้เองเมื่อเผชิญปัญหา 77.90% เชื่อว่าสามารถช่วยเพื่อนที่มีปัญหาภัยออนไลน์ได้

“เด็กรู้เรื่องว่ามีภัย แต่เด็กประมาทและคิดว่าสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงเป็นประเด็นที่ควรทบทวนว่ามีเครื่องมือในการให้ความรู้กับเด็กเพียงพอหรือไม่”

46% ถูกแกล้งผ่านโซเชียล

นอกจากนี้ยังพบว่า 80.48% เคยเล่นเกมออนไลน์ โดย 50.73% ของเด็กผู้ชายจะเล่นเกมทุกวันหรือเกือบทุกวัน ทำให้เด็กผู้ชายจะเสี่ยงติดเกมมากกว่าเด็กผู้หญิงที่มีแค่ 32.34% จะเล่นเกมสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

ขณะที่การถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์พบว่า 46.11% เคยถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์ โดย 59.44% เพศทางเลือกถูกกลั่นแกล้งมากที่สุด และ 33.44% ยอมรับว่าเคยกลั่นแกล้งคนอื่น โดย 52% จะบอกเพื่อนเมื่อถูกกลั่นแกล้ง 36% จะบอกพ่อแม่ 36%

สำหรับการรับมือกับการโดนแกล้ง 34% จะลบข้อความหรือภาพ 3.4% จะบล็อกเพื่อน แต่ 21% ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้แกล้ง โดยช่องทางที่ถูกกลั่นแกล้งมากที่สุดคือ โซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์

15% เคยนัดเจอเพื่อนออนไลน์

ขณะที่การพบสื่อออนไลน์ที่เกี่ยวกับเพศ 68.07% เคยเห็น 21.33% เคยเห็นสื่อลามกอนาจารเด็ก แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ สัดส่วนการพบเห็นของเด็กประถมไม่ต่างจากเด็กมัธยม โดยช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์กพบมากที่สุด

นอกจากนี้ยังพบว่า 15.97% เคยนัดพบกับเพื่อนออนไลน์ โดยเป็นเด็กผู้ชาย 19.34% เด็กผู้หญิง 12.43% และมี 6.60% เคยนัดพบมากกว่า 10 ครั้ง ในช่วงสิบเดือนที่ผ่านมา เด็กอายุ 15-18 ปี เป็นกลุ่มที่มีการนัดเจอเพื่อนออนไลน์มากที่สุด 77.36% ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียและบริการรับส่งข้อความอย่าง Facebook หรือ Line

“ปีที่ผ่านมามีเด็กติดเกมเข้ามารับการรักษามากขึ้น 6.12 เท่า เคยเจออายุน้อยสุดเพียง 5 ขวบ เด็กบางคนต้องรักษาถึง 2 ปี และมีแค่ 30% ที่รักษาหาย จึงควรป้องกันก่อนสายเกินไป”

5 ขวบใช้โซเชียลแล้ว

“ธาม เชื้อสถาปนศิริ” นักวิชาการอิสระและอนุกรรมการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ กล่าวถึง 10 สถานการณ์วิกฤตภัยออนไลน์ต่อเด็กและเยาวชน ได้แก่ 1.ปัญหาการเล่นเกม เด็กติดเกม และอีสปอร์ต ซึ่งเกมเป็นทั้งโอกาสและปัญหาการสร้างความคาดหวัง พ่อแม่จึงควรใส่ใจดูแล 2.ปัญหาการครอบครองสื่อโดยที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ เนื่องจากในไทยไม่มีเกณฑ์กำกับ ขณะที่สหรัฐอเมริกามีกฎว่า อายุไม่ถึง 13 ปี ห้ามเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดียใด ๆ แต่ในประเทศไทยอายุ 5 ขวบมีแอ็กเคานต์โซเชียลแล้ว

3.การพนันออนไลน์กลายเป็นช่องทางที่เข้าถึงง่ายสำหรับเยาวชนที่อยากรวยเร็ว 4.การกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ และการตกเป็นเหยื่อคุกคามทางเพศออนไลน์ 5.การถูกล่อลวงและล่อออกไปพบคนแปลกหน้าจากสื่อสังคมออนไลน์ โดยไม่รู้ว่าอันตราย

6.การใช้สื่อเพื่อสร้างอัตลักษณ์ พฤติกรรมและค่านิยมที่ผิด ในอเมริกาเคยมีการศึกษาพบว่า มีเด็กบางคนถ้าโพสต์ข้อความแล้วมียอดไลก์ไม่ถึง 20 คน จะลบโพสต์ทิ้งเพราะอาย 7.การหลงผิดเปิดเผยข้อมูลและความเป็นส่วนตัวบนสื่อออนไลน์ 8.การขาดการส่งเสริม สร้างทักษะการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ ต่อตัวเด็กและเยาวชนและครอบครัว 9.การขาดกฎหมายคุ้มครองเด็กจากสื่อออนไลน์ และที่สำคัญ คือ 10.การขาดหน่วยงานกำกับดูแล ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่บูรณาการและเท่าทันสถานการณ์โดยเฉพาะ

“เด็กต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรจะเข้าถึงทุกหน้าจอ หรืออุปกรณ์ไอทีทุกชนิด เพราะยังขาดความรู้และประสบการณ์ในการแยกแยะ สิ่งสำคัญคือการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันสื่อในตัวเด็กและพ่อแม่ เพราะสถานการณ์เด็กกับเทคโนโลยีมีความใกล้ชิดกันมากจนเกินกว่าจะแยกกันออก”

“ชาญไชย วิกรวงษ์วนิช” รองประธานเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ เสนอว่า ควรมีมาตรการให้เด็กเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม และผลักดันให้การรู้เท่าทันสื่อออนไลน์บูรณาการไปกับหลักสูตรการศึกษาด้วย


“ทุกวันนี้เด็กด่าทอ ใช้คำหยาบคาย หรือพูดเกี่ยวกับเรื่องเพศจนเป็นเรื่องปกติ จนกลายเป็นค่านิยมผิด ๆ ดังนั้นนอกจากมาตรการป้องกัน ควรจะต้องสร้างความตระหนักด้วยว่าสิ่งที่ทำ มันไม่ดี”