มาไทยเเล้ว! เปิดตัวโดรนจิ๋วเเต่เเจ๋ว “DJI Mavic Air” พับได้-สเปกล้ำ เจาะไลฟ์สไตล์คนชอบเที่ยว

ผู้ผลิตโดรนรายใหญ่ของโลก “DJI” พัฒนาเทคโนโลยีถ่ายภาพทางอากาศฟีเจอร์สุดฉลาด ในขนาดพกพาสะดวก เปิดตัว “DJI Mavic Air” โดรนรุ่นล่าสุดส่งตรงถึงเมืองไทยเเล้ววันนี้ (6 ก.พ.) ถือเป็นการเปิดตัวให้ยลโฉมครั้งเเรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยเมื่อสองปีที่เเล้ว ปล่อย DJI Mavic Pro โดรนขนาดกลางพับได้ออกมาสะเทือนตลาดเเละได้รับเสียงตอบรับดีล้นหลาม ต่อด้วย DJI Spark โดรนขนาดเล็กที่สามารถสั่งงานด้วยท่าทางมนุษย์ ด้วยราคาเข้าถึงได้ก็สร้างความนิยมได้ไม่ยาก

เเละในปีนี้กับ DJI Mavic Air รุ่นใหม่ที่ผสมความเล็กกะทัดรัดขนาดเท่าสมาร์ทโฟนจากรุ่น Spark เเละความสามารถทรงประสิทธิภาพของ Mavic Pro

“ตอนที่ DJI เปิดตัว Mavic Pro ก็นับเป็นการพลิกคำนิยามของนวัตกรรมคอนซูเมอร์โดรนมาเเล้ว ด้วยขนาดเหมาะเเก่การพกพา ใช้งานง่ายเเต่ฉลาด ซึ่งวันนี้ก็ได้เปิดตัว Mavic Air ที่ผ่านการพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆให้ล้ำขึ้นไปอีกขั้น เพื่อให้ได้โดรนสำหรับการใช้งานทั่วไปที่ดีที่สุดเท่าที่มีมา” โรเจอร์ ลูโอ ประธาน DJI กล่าว

ด้านเควิน ออน ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของ DJI เปิดเผยว่า เทคโนโลยีโดรนกำลังจะเข้ามาเป็นหนึ่งในเเก็ดเเจ็ตไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันของผู้คน สำหรับประเทศไทยถือว่าได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก ถือเป็นตลาดใหญ่ของ DJI ในอาเซียน โดยในระดับเอเชียถือว่าตลาดโดรนในไทยนั้น ติดอันดับ TOP 5 ขณะที่กลุ่มลูกค้ากลุ่มใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่คนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยี กลุ่มนักเดินทางเเละกลุ่มผู้นิยมกิจกรรมกลางเเจ้ง

กลยุทธ์การตลาดของ DJI ในปี 2018 นี้จะเน้นไปที่การ “เทรนนิ่ง” ให้ผู้ใช้ทั้งเรื่องการใช้งาน เทคนิค รวมไปถึงกฎระเบียบข้อบังคับของเเต่ละประเทศ ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเเละความเข้าใจไปพร้อมๆกัน ขณะเดียวกันทาง DJI จะร่วมมือกับช่องทางการสื่อสารต่างๆ นำเสนอคอนเทนต์เเละเรื่องราวให้เข้าถึงคนทั่วไปให้มากที่สุด อีกทั้งจะร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่นเพื่อเข้าถึงตลาดนั้นๆ เเละศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่ ขยายจากฝั่งไลฟ์สไตล์ไปยังตลาดโดรนเพื่ออุตสาหกรรมเเละการเกษตร

ด้านสุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็คฯ ผู้จัดจำหน่ายโดรน DJI ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดโดรนในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ทำให้เจาะกลุ่มผู้ใช้ได้หลายช่วงวัย อีกทั้งยังไมีตลาดใหม่ที่เริ่มใช้โดรนมากขึ้น อย่างเช่นภาคเกษตรเเละการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยความร่วมมือของซินเน็คเเละ DJI สามารถครองตลาดได้ถึง 70 % สำหรับโดรนที่ลงทะเบียนเเล้ว

“ปีนี้ตั้งเป้ายอดเติบโตในส่วนของโดรนมากกว่า 30% โดยกลยุทธ์การตลาด ส่วนใหญ่จะทำงานร่วมกับเเบรนด์ ซึ่งเราจะช่วยเรื่องการดูเเลหลังการขาย จากดีลเลอร์กว่า 5,000 ร้านทั่วประเทศ เราจะไปช่วยเขากระจายสินค้าเเละดูเเลหน้าร้าน พร้อมผู้เชี่ยวชาญที่ส่งไปจะได้รับการรับรองจาก DJI ซ่อมเปลี่ยนได้ตามมาตรฐาน” สุธิดากล่าวเเละว่า จากนโยบายกสทช. ที่กำลังจะให้ผู้ซื้อโดรนต้องการลงทะเบียน ณ จุดขายนั้น ซินเน็คมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี เเละมีการสื่อสารกับดีลเลอร์ในเรื่องนี้

เปิดสเปค DJI Mavic Air

“DJI Mavic AIR” สามารถบินได้นานถึง 21 นาที โดยสามารถบินนิ่งๆ ในกระแสลมแรงได้ถึง 36 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และบินขึ้นในแนวดิ่งได้สูงถึง 16,404 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล

ด้านกล้องวิดีโอ 4K ที่สามารถให้ Bitrate 4K ได้สูงถึง 100 Mbps สำหรับการตัดต่อที่ต้องการรายละเอียดของวิดีโอและสามารถถ่าย Slow motion ได้ 120 fps ที่ความละเอียด 1080p

ในส่วนภาพนิ่ง สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ด้วยเลนส์มุมกว้าง 24 mm f/2.8 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว 3 แกน ทีเด็ดคือโดรนสามารถหมุนรอบตัวเพื่อถ่าย 25 ภาพใน 8 วินาที แล้วนำมาประกอบเป็นภาพ Panorama รอบตัว 180 องศาความละเอียด 32 ล้านพิกเซลได้ และผู้ใช้สามารถเปิดโหมด HDR ในการถ่ายภาพ เพื่อเก็บรายละเอียดแสงที่แตกต่างกันได้

ขณะที่ รีโมทคอนโทรลของ Mavic Air ยังเป็นเครื่องแรกที่มาพร้อมขาช่วยถือในตัว และยังมีเสารับสัญญาณ บนอุปกรณ์ช่วยลงจอดที่เพิ่มการครอบคลุมระยะสัญญาณได้ไกลถึง 2.5 ไมล์ (4 กิโลเมตร) พร้อมส่งภาพวิดีโอแบบเรียลไทม์ขณะบินได้เร็วถึง 720p เมื่อใช้รีโมทคอนโทรล หรือเมื่ออยู่ในโหมด Sport Mavic Air จะสามารถทำความเร็วได้ถึง 42 ไมล์ต่อชั่วโมง (68 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และยังสามารถใช้ร่วมกับแว่น DJI Goggles สำหรับการบินเสมือนจริงแบบ FPV ได้อีกด้วย

“คุณลักษณะใหม่สุดๆในรุ่น Mavic Air คือ SmartCapture ซึ่งสามารถตอบสนองได้มากกว่าสำหรับการถ่ายภาพเเละวิดีโอ รองรับระยะไกลได้ถึง 20 ฟุต เเละ ActiveTrack อัลกอริทึมที่ปรับปรุงใหม่ จะสามารถลดข้อผิดพลาดในการติดตามได้ โดยเฉพาะในการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เช่นการวิ่งเเละปั่นจักรยาน”

สำหรับ DJI Mavic Air มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ Onyx Black, Arctic White และ Flame Red โดยในชุดมาตรฐาน ประกอบไปด้วย ตัวโดรน แบตเตอรี่ รีโมทคอนโทรล กล่องสำหรับใส่อุปกรณ์ทั้งหมด อุปกรณ์ป้องกันใบพัด 2 คู่ ใบพัด 4 คู่ ราคาอยู่ที่ 30,000 บาท และชุดคอมโบ Mavic Air Fly More Combo ที่ประกอบด้วย ตัวโดรน แบตเตอรี่ 3 ก้อน รีโมทคอนโทรล กระเป๋าสำหรับเดินทาง อุปกรณ์ป้องกันใบพัด 2 คู่ ใบพัด 6 คู่ อุปกรณ์สำรองไฟ และอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ วางจำหน่ายในราคา 37,500 บาท