บูลบิค ควักพันล้าน ปิดดีลผนึก เอ็มเฟก-อินโนบิซ

บูลบิค’ควักพันล้าน ปิดดีลผนึก เอ็มเฟก-อินโนบิซ

“บลูบิค” ควักกว่า 1,000 ล้านบาท ปิด 2 ดีลใหญ่ส่งท้ายปี ซื้อหน่วยธุรกิจ Digital Delivery ของ Mfec พร้อมควบรวมกิจการ กับ “อินโนวิช” เสริมแกร่งที่ปรึกษาดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นครบวงจรเล็งขยายธุรกิจบุกตลาดต่างประเทศ

วันที่ 1 ธันวาคม 2565 รายงานข่าวจาก บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัททุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการในสัดส่วน 100% ของ 2 บริษัทชั้นนำในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับประเทศ ได้แก่ หน่วยธุรกิจ Digital Delivery ของ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC (ที่ปรึกษาและพัฒนางานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร) ซึ่งเป็นทีมงานนักพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและแอปพลิเคชั่นทั้งหมดกว่า 300 ชีวิต

และ 2.บริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด (Innoviz Solutions) ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญการวางระบบ Enterprise Resource Planning-ERP ของ Microsoft Dynamics 365 ทำให้มีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 350 คน เป็น 780 คน เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจและบริการทั้งในและต่างประเทศ

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า การเข้าซื้อหน่วยธุรกิจ Digital Delivery ของ MFEC เป็นการเพิ่มขีดความสามารถการรองรับงานบริการให้คำปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี (Digital Excellence & Delivery หรือ DX) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่สร้างรายได้ให้บลูบิค

และยังเป็นการต่อยอดทางธุรกิจในอนาคตผ่านการ Synergy ร่วมกันกับทาง MFEC รวมทั้งช่วยเรื่องการประหยัดต้นทุนในการบริหารงานจาก Economy of Scale หลังกระบวนการควบรวมกิจการเสร็จจะมีผลให้ทีมงานนักพัฒนาเทคโนโลยีและแอปพลิเคชั่นของกลุ่มบริษัท เพิ่มมากขึ้นถึง 500 คน รองรับความต้องการในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นของภาคธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

สำหรับทีมนักพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและแอปพลิเคชั่น (Digital Delivery) ของ MFEC มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและแอปพลิเคชันภายใต้มาตรฐาน Software Development Life Cycle-SDLC และการนำระบบขึ้นเพื่อใช้งาน (Deployment Management) และมีความเชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชั่นทั้งในรูปแบบ Mobile Application, Web Application, Desktop และบล็อกเชน เป็นต้น

ขณะที่การควบรวมกิจการกับบริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด จะสร้างโอกาสเติบโตทางธุรกิจ เนื่องจากการพัฒนาการวางแผนและการจัดการทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรหรือระบบงาน ERP เป็นหัวใจหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพกำลังการผลิตและกระบวนการดำเนินงานให้มีความคล่องตัวและยังเป็นที่ต้องการจากองค์กรชั้นนำที่ต้องปรับตัวเข้าสู่การทำธุรกิจยุคดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

“ทีมงานผู้เชี่ยวชาญระบบ ERP มากกว่า 130 คน ที่เติมเข้ามาจาก Innoviz จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และตอบสนองความต้องของลูกค้ากลุ่มเดิมของบลูบิคได้อีกทั้งเป็นการขยายบริการและผลิตภัณฑ์หลักของบลูบิคไปยังฐานลูกค้าของ Innoviz ที่มีอยู่มากกว่า 200 ราย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค การเงินและธนาคาร และหน่วยงานภาครัฐ”

สำหรับกระบวนการควบรวมกิจการของ Innoviz จะแบ่งการชำระค่าหุ้นออกเป็น 3 งวด งวดแรกเริ่มต้นในไตรมาส 1 ปี 2566 และจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2568 โดยบลูบิคจะเข้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมดด้วยเงินสด

– งวดที่ 1 เข้าซื้อในสัดส่วน 55% โดยใช้เงินกู้ยืมจากสถาบัน ในราคาซื้อขายหุ้นที่เท่ากับกำไรสุทธิของ Innoviz ในปี 2565 คูณด้วย 12 เท่าของ P/E และคูณด้วยสัดส่วนหุ้น 55%

– งวดที่ 2 ในสัดส่วน 30% โดยราคาซื้อขายหุ้นจะเท่ากับกำไรสุทธิของ Innoviz ในปี 2566 คูณด้วย 16 เท่าของ P/E และคูณด้วยสัดส่วนหุ้น 30%

– งวดสุดท้าย ในสัดส่วน 15% ซึ่งราคาซื้อขายหุ้นจะเท่ากับกำไรสุทธิของ Innoviz ในปี 2566 คูณด้วย 16 เท่าของ P/E และคูณด้วยสัดส่วนหุ้น 15% สำหรับการชำระค่าหุ้นในงวดที่ 2 และ 3 นั้น บริษัทฯ จะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน

“การขยายธุรกิจของบลูบิคนั้นเป็นไปตามแผนการลงทุนที่ได้วางไว้ เพื่อรองรับกระแสการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นและความต้องการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้สร้างข้อได้เปรียบในภาคธุรกิจที่ยังคงแรงต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกเหล่านี้ทำให้เห็นถึงโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ผ่านผลประกอบของบริษัทที่ทำนิวไฮหลายไตรมาสติดต่อกัน”

นายพชรกล่าวต่อว่าการเข้าซื้อกิจการของทั้ง 2 บริษัท จะทำให้การเติบโตนับจากนี้ โดยเฉพาะในปี 2566 น่าจับตามอง จากจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี ย้ำความเป็น Tech Company ที่มุ่งเน้นการเป็น Venture Builder ระดับสากล

ด้านนายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัม เอ็ม เอห อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็มเฟค-MFEC เปิดเผยว่า บริษัททีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอหต์แวร์มากว่า 20 ปี และต้องการขยายเข้าสู่ธุรกิจที่ปรึกษา ซึ่งต้องสร้างทีม ขณะที่บลูบิค เป็นบริษัทที่ปรึกษาและต้องการเพิ่มทีมด้านพัฒนาซอฟต์แวร์ จึงนำไปสู่ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทเพื่อให้สามารถสร้างการเติบโตและเสริมศักยภาพการแข่งขันได้อย่างรวดเร็วกว่าการต่างคนต่างทำ

“การ synergy กันจะทำให้ทุกคนเข้าถึงเป้าหมายการเติบโตได้เร็วกว่า ก็น่าจะ win win ด้วยกัน เป็นบริษัทไทยที่แข็งแรงขึ้น” นายศิริวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย