NT เปิดกำไร 1.3 พันล้าน แผนลดคนไม่เข้าเป้า

NT เปิดผลประกอบการ 2565 รายได้ 9.1 หมื่นล้านบาท กำไร 1.3 พันล้านบาท เหตุ Early Retirement ไม่เข้าเป้า ชี้เดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กรลดต้นทุนต่อเนื่อง ขยายลงทุน 5G-ดิจิทัลเทคโนโลยี สู่ Tech Company

วันที่ 13 มกราคม 2565 พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT)  เปิดเผยว่า หลังจากควบรวม TOT กับ CAT เป็นองค์กรเดียวกัน ในฐานะบริษัทสื่อสารและโทรคมนาคมของภาครัฐ และได้ปรับโครงสร้างองค์กรและธุรกิจครบ 2 ปี เมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา

ล่าสุดผลการดำเนินงาน ในปี 2565 ที่ผ่านมา 11 เดือน มีรายได้รวม 84,013 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 82,369 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,644 ล้านบาท และประมาณการสิ้นปี 2565 มีรายได้รวม 91,528 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 90,209 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,319 ล้านบาท 

“ส่วนหนึ่งที่สามารถทำกำไรได้ทั้งที่ ทำแผนประจำปีแบบขาดทุนไว้ เพราะตามแผนเดิมจะต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับการปรับลดคน (Early Retirement) เดิมตั้งเป้าหาคนสมัครใจลาออก 1,800 คน แต่ได้มา 600 คน จึงนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้คอนเวิร์สกลับมาเป็นกำไร เป้าหมายคือลดจำนวนพนักงาน จากเดิม 1.4 หมื่นคน ตามแผนที่จะต้องลดเพื่อให้องค์กรมีประสิทธิภาพจะต้องลดให้เหลือ 9,000-10,000 คน ก่อนปี 2568” 

รายได้แบ่งเป็นจากกลุ่มธุรกิจ Mobile 50,820 ล้านบาท หรือ 55% ของรายได้, ธุรกิจ Fixed Line & Broadband และ Sattellite รวม 19,930 ล้านบาท หรือ 22% ของรายได้, ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและเสาโทรคมนาคม 9,486 ล้านบาท หรือ 10% ของรายได้, ธุรกิจ International 2,178 ล้านบาท หรือ 3% ของรายได้, ธุรกิจ Digital และ IDC & Cloud รวม 3,902 ล้านบาท หรือ 4% ของรายได้ และรายได้อื่น 5,212 ล้านบาท หรือ 6% 

พันเอกสรรพชัยย์กล่าวด้วยว่า NT มีผลประกอบการปี 2565 สูงกว่าปี 2564 ซึ่งเป็นปีจัดตั้งบริษัท และดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแผนธุรกิจที่ตั้งเป้าขาดทุนไว้ นอกจากนี้ NT ยังเร่งสร้างรายได้กลุ่ม Digital ใหม่ ๆ และการหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ Sunrise เช่น แพลตฟอร์ม คลาวด์ หรือบริการดิจิทัลที่เหนือกว่ารายได้จากโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม ซึ่งกลุ่มลูกค้ายังคงโฟกัสที่ภาครัฐเป็นหลัก

นอกจากนี้ ผลกำไรยังเกิดจากการบริหารจัดการเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน และบริหารจัดการทรัพยากรด้านบุคคล หลังการควบรวมบริษัท โดยเฉพาะมีโครงการเกษียณก่อนอายุหรือโครงการร่วมใจจาก (Mutual Separation Plan : MSP) เพื่อลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานในภาพรวมลงให้ได้ 15-20%

พันเอกสรรพชัยย์อธิบายเสริมว่า เนื่องจากปี 2568 สัญญาเช่าคลื่นความถี่จากระบบสัมปทานของเอไอเอส ในคลื่น 2100Mhz ของทรู ในคลื่น 2300MHz และดีแทค 850Mhz ทำให้รายได้ที่จะหายไปเบ็ดเสร็จคือ 3 หมื่นล้านบาท รวมถึงรายได้อื่น ๆ ที่เกิดจากพันธมิตร ทำให้กลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอยู่ในขาลง

ดังนั้น NT จึงต้องปรับตัวเร่งรายได้จากกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในขาขึ้น หรือ Sunrise รวมถึงเร่งดำเนินธุรกิจ 5G เต็มรูปแบบและพร้อมให้บริการในปี 2566 พร้อมบริการทางดิจิทัลแพลตฟอร์มและคลาวด์เพื่อทำให้ NT หนีจากการเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม สู่การให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัล หรือการเป็น Tech Company เพื่อจะเติบโตได้ในระยะยาว และเร่งก่อรายได้ชดเชยรายได้ที่จะหายไปในปี 2568 

“ความเสี่ยงเดียวที่จะทำให้ภาพในปี 2568 ไม่เป็นไปตามแผน คือการที่พนักงานไม่ยอมลาออกตามจำนวนที่ตั้งไว้ นั่นจะทำให้รายได้เมื่อเฉลี่ยต้นทุนบริหารจัดการแล้วเราเจ็บตัวหนักขึ้น”

โฟกัสกลุ่มธุรกิจดิจิทัล มุ่งเป้าปรับเปลี่ยนองค์กรเป็น Tech Company

พันเอกสรรพชัยย์ยังกล่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2566 นี้ว่า NT มีแผนปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ เน้นโฟกัสที่ธุรกิจด้านดิจิทัลเป็นหลัก โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ และแนวโน้มที่ประเทศไทยจะมีการลงทุนของธุรกิจต่างชาติเพิ่มขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล NT คาดว่าความต้องการโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมจะเพิ่มสูงขึ้น และเป็นโอกาสของ NT ที่จะขยายธุรกิจจากโครงการเคเบิลใต้น้ำเส้นใหม่ ASIA DIRECT CABLE ที่จะเปิดใช้งานในปีนี้ รวมถึงผลักดันการเติบโตของกลุ่มธุรกิจบริการดิจิทัลมากขึ้น โดยมีเป้าหมายระยะยาวคือปรับเปลี่ยนองค์กรสู่การเป็น Tech Company

NT ได้พัฒนาธุรกิจบริการดิจิทัลอย่างต่อเนื่องในทั้งสององค์กรตั้งแต่ก่อนการควบรวม โดยเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการทรานส์ฟอร์มองค์กรดังกล่าว ซึ่งมีแนวโน้มในทางที่ดี โดยในปีที่ผ่านมากลุ่มบริการดิจิทัลสร้างรายได้และการเติบโตที่ดี นอกจากคลาวด์และ Data Center และ Digital Solution แล้วยังมีความโดดเด่นจากการเติบโตของบริการ Big Data เกิน 100% และ IT Security ที่เติบโต 26% จากความสามารถทำกำไรของธุรกิจบริการและโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลสูงกว่าโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม

นอกจากนี้ ปีนี้ NT จึงเตรียมร่วมกับเอกชนหลายรูปแบบ โดย spin off ธุรกิจกลุ่มบริการดิจิทัล 1-2 บริษัท ด้าน Cloud และ IT Security เพื่อการดำเนินธุรกิจที่แข่งขันได้และสร้างผลกำไรมากกว่าโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม ในอนาคตมีแนวทางดำเนินธุรกิจกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูงด้วยการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์เพื่อ spin off ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ NT จะมีสถานะเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่มีเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นหลัก

ทั้งนี้ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานกลุ่มเดิมคือเสา สาย ท่อร้อยสาย ที่บางส่วนอาจต้องใช้เงินลงทุนของภาครัฐมาช่วยเสริม เช่น โครงการเน็ตประชารัฐและอาเซียนดิจิทัลฮับ จะเพิ่มเติมรูปแบบการใช้ประโยชน์ในลักษณะที่ยังคงอยู่ภายใต้รูปแบบรัฐวิสาหกิจ เช่น กองทุน Infra fund หรือ กองทุน REIT ให้เช่าระยะยาว  

สำหรับธุรกิจหลักปัจจุบันคือกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต เนื่องจากบริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตมีต้นทุนสูงและการแข่งขันที่สูงในด้านบริการเสริม NT จึงเน้นที่คุณภาพบริการเพื่อรักษาฐานลูกค้า 

ขณะที่กลุ่มธุรกิจไร้สายมีแผนพัฒนาคลื่นความถี่ 700 MHz. และ 26 GHz. โดยคลื่น 700 MHz. เป็นการลงทุนติดตั้งโครงข่าย 4G ใช้ทดแทนคลื่น 850 MHz. เพื่อดูแลลูกค้าที่มีในระบบเดิมกว่า 2 ล้านเลขหมาย และให้บริการด้าน IOT ทั่วประเทศ รองรับการใช้งานในพื้นที่ห่างไกล ทั้งยังเชื่อมต่อกับคลื่นความถี่ 26 GHz. ที่ใช้ในการพัฒนา 5G สำหรับพื้นที่เฉพาะ โดยเสริมด้วยสายใยแก้วนำแสงที่เชื่อมโยงครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ     

นอกจากนี้ NT ยังมีความสนใจในการเข้าไปลงทุนหรือมีส่วนร่วมในธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตลาดมีอัตราการเติบโตสูง เช่น ตลาด Smart City, Data Management Service, Environment, Health Care, EV, Gaming, Big Data รวมถึง Trend ของ Technology อย่าง AI AR/VR Robotic/Automation และ Green Energy  

NT ขับเคลื่อน Digital Transform ภาครัฐเพื่อประชาชน

NT มุ่งเน้นบทบาทสำคัญในการเป็นหน่วยงานให้บริการโทรคมนาคมหลักและเป็นกำลังสำคัญของภาครัฐในการต่อยอดโครงสร้างดิจิทัลเพื่อสนับสนุน Digital Transformation ภาครัฐ ด้วยบริการ Data Center, Cloud และ Digital Solution ครบวงจร ให้กับหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ เพื่อผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนตามแนวทางยุทธศาสตร์ประเทศ 20 ปี และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 

โดยโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงสร้างระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ให้บริการหน่วยงานภาครัฐในการจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลบนคลาวด์เพื่อสนับสนุนการบริการประชาชนด้วยเซิร์ฟเวอร์เสมือนกว่า 36,000 VM ซึ่งมีความต้องการใช้งานของหน่วยงานภาครัฐเป็นจำนวนมาก โดย NT ได้ร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ระดับโลกต่อยอดบริการ GDCC รองรับความต้องการของภาครัฐครบวงจรพร้อมความปลอดภัยด้านไอทีโดยบริการ Cyfence  

ล่าสุดได้ขับเคลื่อนการจัดโครงสร้างแพลตฟอร์มกลางต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องสำหรับหน่วยงานภาครัฐใช้งานร่วมกัน เพื่อขยายบริการดิจิทัลภาครัฐและบริการอัจฉริยะต่าง ๆ เข้าถึงประชาชน เช่น Smart School, Smart Tourist, Smart Health ผ่านโครงข่ายพื้นฐานของ NT ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ  

ทั้งนี้ NT ตั้งเป้าดึงลูกค้าภาครัฐมาใช้บริการกลางด้านโครงสร้างโทรคมนาคมพื้นฐานและเทคโนโลยีดิจิทัลของ NT ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพด้านดิจิทัลที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ขณะที่ลดภาระด้านการดูแลระบบและช่วยลดงบประมาณรัฐ เช่น ระบบคลาวด์กลาง GDCC ที่ช่วยประหยัดงบประมาณโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของหน่วยงานรัฐได้มากกว่า 50%

มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและดิจิทัลเต็มรูปแบบในปี 2566-2568

แม้พันเอกสรรพชัยย์จะเน้นว่า NT จะมุ่งสร้างโอกาสทางธุรกิจโดยขยายบริการไปสู่ดิจิทัล หรือเป็น Layer2 มากยิ่งขึ้น แต่กระนั้นก็ยังตอกย้ำจุดแข็งของ NT ว่าอยู่ที่โครงสร้างพื้นฐานและทรัพย์สินที่มี จึงต้องมุ่งต่อยอดโอกาสในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างรายได้จากทรัพย์สินเดิมที่มีอยู่ให้ได้มากขึ้น  

จากจุดแข็งที่ NT บูรณาการสินทรัพย์เดิมของสององค์กรเป็นโครงข่ายพื้นฐาน (CAT-TOT) ที่ครอบคลุมและเข้าถึงประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งแม้ผลตอบแทนน้อ ยแต่มีความสำคัญในการรองรับการพัฒนาประเทศสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข็งแกร่ง   

โดยแนวทางการใช้ประโยชน์สูงสุดจากสินทรัพย์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ได้แก่ 

  – เสาโทรคมนาคมจำนวนกว่า 30,000 เสา มีแผนรักษารายได้จากการให้เช่าพื้นที่เสาโทรคมนาคมที่มีอยู่เดิมในระยะยาว ยุบรวมเสาโทรคมนาคมในบริเวณเดียวกันเพื่อลดต้นทุนในการให้บริการ และการขยายเสาโทรคมนาคมในพื้นที่เฉพาะต่าง ๆ เช่น อุทยาน, ป่าไม้, ส.ป.ก., พื้นที่ของหน่วยงานรัฐ ฯลฯ  

  – ท่อร้อยสายใต้ดิน มีแผนดำเนินการอย่างต่อเนื่องร่วมกับการไฟฟ้าตามนโยบาย กสทช. พร้อมกับ NT มีแนวทางพัฒนาบทบาทเป็น Neutral Operator และ Neutral Last Mile Provider

เพื่อผู้ให้บริการสามารถใช้โครงสร้างร่วมกันได้ทั้งเสาโทรคมนาคมและสายสื่อสาร Core Fiber โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม เช่น บริการบรอดแบนด์ ผู้ให้บริการไม่จำเป็นต้องลงทุนสายทั้งหมด แต่ใช้โครงข่ายกลางและลากเฉพาะสาย last mile เข้าสู่บ้านเพื่อให้บริการลูกค้าได้ ซึ่งลดต้นทุนของผู้ให้บริการในภาพรวม อีกทั้งสร้างทัศนียภาพภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบ้านเมือง โดยช่วยลดความไม่เป็นระเบียบของสายสื่อสาร