Salesforce เปิดตัวโซลูชั่น CRM ใหม่ อัพเกรดขุมพลังด้วย AI

Salesforce-CRM

“Salesforce” อัพเกรดโซลูชั่น CRM ด้วย AI พร้อมเปิดตัว Einstein 1 Studio ชุดเครื่องมือ AI แบบ low-code และ Einstein Copilot ผู้ช่วย AI โต้ตอบแบบสนทนา

วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) ผู้ให้บริการระบบประมวลผลบนคลาวด์ ประกาศเปิดตัว Einstein Copilot ในเวอร์ชั่นพร้อมให้บริการโดยทั่วไป (Generally Available) ซึ่งเป็นผู้ช่วย Al ที่โต้ตอบแบบสนทนาสำหรับระบบ CRM ของ Salesforce พร้อมเปิดตัว Einstein 1 Studio ชุดเครื่องมือ AI ในรูปแบบ low-code สำหรับปรับแต่ง Einstein Copilot และนำ AI มาใช้ในทุก ๆ แอปพลิเคชั่น CRM โดยเปิดตัวแล้วในเวอร์ชั่นเบต้า

Einstein 1 Studio ประกอบด้วย Copliot Bulider ที่ใช้สำหรับการปรับแต่งขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ ของ AI เพื่อให้ปฏิบัติงานทางธุรกิจที่มีความเฉพาะเจาะจงได้ อีกทั้งยังมี Prompt Builder ที่ช่วยสร้างและเปิดใช้งานรูปแบบลักษณะการใส่คำสั่ง (Prompt) ที่ปรับแต่งขึ้นเอง เข้าในขั้นตอนการทำงาน รวมทั้ง Model Builder ที่ผู้ใช้สามารถสร้างหรืออิมพอร์ตโมเดล AI ได้หลากหลาย ช่วยแก้ปัญหาขีดความสามารถของทีม IT ในการตอบสนองความต้องการของธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้

โดยลูกค้าของ Salesforce สามารถใช้งาน Einstein Copilot ได้ผ่านการอัพเกรดระบบเป็น Salesforce แบบ Einstein 1 ซึ่งรวมทั้ง Data Cloud, AI และ CRM ไว้ในชุดเดียวกัน

อีกทั้ง Salesforce ยังได้เปิดตัว Data Cloud Spring ‘24 Release ซึ่งมีฟีเจอร์นวัตกรรมที่ทำให้ข้อมูลใน Data Cloud สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น บนแอปพลิเคชั่น CRM และบริการแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของ Salesforce เช่น Data Cloud Related Lists ช่วยให้บริษัทสามารถปรับปรุงข้อมูลของผู้ที่สนใจในสินค้า (Lead) ข้อมูลติดต่อ และบันทึกข้อมูลการมีส่วนร่วมของลูกค้าแบบเรียลไทม์ได้ทันที

ในขณะที่ Data Cloud Copy Fields ทำให้สามารถนำข้อมูลที่ได้จาก Data Cloud มาแสดงในระบบ CRM หลักได้ โดยไม่จำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลที่ซับซ้อนให้เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ส่วนฟีเจอร์ Data Spaces ช่วยให้ลูกค้าของ Salesforce สามารถแยกข้อมูล รวมทั้ง Metadata และกระบวนการต่าง ๆ ตามของแต่ละแผนก รวมถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดต่าง ๆ

ADVERTISMENT

และฟีเจอร์ Model Builder ยังช่วยให้บริษัทสามารถสร้างโมเดล predictive AI ของตนเองที่ได้รับการเทรนด้วยข้อมูลจาก Data Cloud หรือเลือกใช้ LLM ต่าง ๆ ที่จัดการโดย Salesforce หรือสามารถนำโมเดล generative AI ของบริษัทเองมาใช้ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ Salesforce ยังชูจุดเด่นของ Zero Copy Partner Network ว่าเป็นเครือข่ายระบบนิเวศของผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นระดับโลก โดยมีพาร์ตเนอร์ในระยะแรก ได้แก่ AWS, Databricks, Google Cloud, Snowflake และสมาชิกใหม่คือ Microsoft ซึ่งมุ่งมั่นรักษาความปลอดภัยในการเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับ Salesforce Data Cloud

ADVERTISMENT

โดยใช้การคัดลอกเป็นศูนย์ทั้งสองทิศทาง (Bidirectional Zero Copy) เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้งานบนแพลตฟอร์ม Einstein 1 ได้ และการเชื่อมต่อแบบ Zero Copy ยังช่วยให้การเชื่อมต่อข้อมูลกับแอปพลิเคชั่นมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และใช้งานง่ายขึ้น ทำให้องค์กรสามารถกำกับดูแลการใช้ข้อมูล และรักษาความปลอดภัย พร้อมทั้งส่งมอบข้อมูลเชิงลึกที่มีความน่าเชื่อถือได้ 

นางสาวธิติรัตน์ ทองถาวร ผู้จัดการประจำประเทศ Salesforce ประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงได้รับแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมูลค่าตลาดเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยคาดว่าจะสูงเกิน 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.7 ล้านล้านบาทในปี 2573 ซึ่ง Salesforce พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการปลดล็อกโอกาสการเติบโตขององค์กรในประเทศไทย

“วิสัยทัศน์ของเราคือการช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม เราวางแผนที่จะให้บริการลูกค้ามากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรมในประเทศไทย ช่วยให้นำโซลูชั่นของ Salestorce มาใช้ในระดับที่ลึกขึ้น และบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจดีขึ้น โดยนวัตกรรมใหม่ของเราจะเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยสามารถสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งด้วยระบบ CRM และการจัดการข้อมูล”

ด้านนายรบส สุวรรณมาศ ผู้นำด้านนวัตกรรม Salesforce ประเทศไทย กล่าวว่า นวัตกรรมล่าสุดของ Salesforce จะทำให้ลูกค้าสามารถรวมข้อมูลใน CRM เข้ากับข้อมูลลูกค้าของบริษัทที่อยู่ในระบบขององค์กร หรือระบบ legacy เดิม รวมถึง data lake และ data warehouse ต่าง ๆ โดยไม่ต้องย้ายหรือคัดลอกข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อน AI ในกระบวนการทำงานตามปกติขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลให้มีความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สิ่งนี้จะนำไปสู่การพัฒนาขั้นถัดไปที่สำคัญคือการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าเหล่านั้นอย่างมีความน่าเชื่อถือ