
ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่อง ดังเห็นได้จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ที่ระบุว่า มูลค่าอีคอมเมิร์ซไทยปี 2566 อยู่ที่ 5.96 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปี 2565 ที่ 5.43 ล้านล้านบาท โดยช่องทางการขายออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ อีมาร์เก็ตเพลซ 24.58% รองลงมาคือ การขายผ่านเว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่นของกิจการ 23.60% และโซเชียลคอมเมิร์ซ 22.25% (มากสุด คือ Facebook รองลงมา TikTok และ Instagram)
ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแต่ละรายจึงพยายามพัฒนาฟีเจอร์หรือโซลูชั่นใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์เทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“เมตา” (Meta) บริษัทแม่ Facebook และ Instagram เพิ่มดีกรีการแข่งขันด้วยการจับมือพันธมิตรอีคอมเมิร์ซ ต่อยอดเทรนด์ “ทักแชตซื้อสินค้า” และพัฒนาโซลูชั่นการส่งข้อความทางธุรกิจ (Business Messaging) แบบใหม่ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคชาวไทย
ไทยยืนหนึ่งช็อปออนไลน์
“แพร ดำรงค์มงคลกุล” Country Director, Facebook ประเทศไทย กล่าวว่า ไทยมีความโดดเด่นด้านการใช้งานโซเชียลมีเดีย การส่งข้อความผ่านแชตและการซื้อสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็นอีมาร์เก็ตเพลซ โซเชียลคอมเมิร์ซ หรือการรับชมไลฟ์ เป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย-แปซิฟิก
ข้อมูลของ Meta พบว่า 90% ของผู้ซื้อชาวไทยสื่อสารกับผู้ขายผ่านการแชตระหว่างซื้อสินค้า และ 5 หัวข้อหลักที่ผู้ซื้อมักแชตคุยกับธุรกิจ ได้แก่ ข้อมูลผลิตภัณฑ์/บริการ ราคา สต๊อกสินค้า โปรโมชั่น และการขนส่ง
ปัจจุบันโซเชียลมีเดียเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ลูกค้าค้นพบสินค้าใหม่ ๆ โดย 56% ของผู้บริโภคในไทยติดต่อธุรกิจผ่าน Messenger เป็นประจำทุกสัปดาห์ และ 50% ของ Gen Z มีการใช้แพลตฟอร์มในเครือ Meta โดยเฉพาะ Instagram เพื่อติดต่อกับร้านค้าในขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่ง 45% ของ Gen Z ชาวไทยมีการติดต่อกับกลุ่มธุรกิจผ่านทาง Instagram Direct
พฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านไลฟ์ยังมีให้เห็นมากขึ้นด้วย โดย 8 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามรับชมไลฟ์สตรีมอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และ 7 ใน 10 สั่งซื้อสินค้าผ่าน Live Shopping
“ผลสำรวจระบุด้วยว่า 62% ของผู้ซื้อชาวไทยชอบดู Facebook Live มากกว่าไลฟ์บนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพราะส่งข้อความหาผู้ขาย และรับคำปรึกษาแบบตัวต่อตัว โดยผู้ซื้อกว่า 41% บอกว่ามีโอกาสซื้อสินค้าเดิมในราคาที่สูงกว่า หากได้รับคำปรึกษาที่ดีแบบตัวต่อตัวจากผู้ขาย”
Facebook ในศึกอีคอมเมิร์ซ
“แพร” กล่าวถึงบทบาทของ Facebook ในการขายสินค้าบนโลกออนไลน์ด้วยว่า มีกลุ่มที่ไลฟ์และขายสินค้า เพื่อปิดการขายบนแพลตฟอร์มเลย โดยหมวดสินค้ายอดนิยม เป็นสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และอาหาร รวมถึงมีกลุ่มที่ใช้เพื่อสร้างการรับรู้ผ่านการทำคอนเทนต์และไลฟ์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขายในอนาคต ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์
“อีกพฤติกรรมที่พบผ่านการใช้งานบนแพลตฟอร์ม คือการขายซื้อสินค้ามือสองในกลุ่มคอมมิวนิตี้ที่มีความสนใจเรื่องเดียวกัน เช่น รถยนต์ เป็นต้น”
“แพร” กล่าวต่อว่า Meta เป็นแพลตฟอร์มที่เติบโตมาจากการเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งมีผู้ใช้งานที่ใช้แพลตฟอร์มในเครืออย่างน้อย 1 บริการ ประมาณ 3.24 พันล้านรายทั่วโลก จึงมีจุดแข็งเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ และเชื่อมโยงความสนใจของผู้ใช้งานผ่านการประมวลผลด้วย “Discovery Engine” หรือ AI ที่ทำหน้าที่คัดสรรคอนเทนต์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะพบสินค้าหรือแบรนด์ใหม่ ๆ มากขึ้น
ย้ำจุดแข็งต่อยอดบริการ
และมากกว่า 50% ของคอนเทนต์ที่เห็นบน Instagram และ 30% ของคอนเทนต์ที่เห็นบน Facebook มาจากการแนะนำของ AI ซึ่งหลังจากนำ AI แนะนำคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม ทำให้เวลาในการใช้งานบน Facebook เพิ่มขึ้น 7% บน Instagram เพิ่มขึ้น 6%
ปัจจุบันผู้ใช้งาน Facebook ในไทยมีอยู่ราว 60 ล้านราย ส่วนใหญ่ใช้ Messenger เพื่อซื้อสินค้า รวมถึงปริมาณการใช้ Messenger ของคนไทยยังติดอันดับต้น ๆ ของโลก โดย 76% ของธุรกิจในไทยที่ร่วมตอบแบบสอบถามสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคุณภาพสูงที่มีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้าในอนาคต จากการลงโฆษณาบน Facebook ที่คลิกไปสู่การสนทนาผ่านแชต
“สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าแพลตฟอร์มของ Meta เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างการเติบโตทางธุรกิจ จึงทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโซลูชั่นการส่งข้อความทางธุรกิจรูปแบบใหม่ ที่สามารถสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าได้อย่างไร้รอยต่อยิ่งขึ้น และไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่มีการให้บริการโซลูชั่นเหล่านี้”
สแกน 3 ฟีเจอร์ใหม่
โดย Meta ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ภายใต้โซลูชั่นการส่งข้อความทางธุรกิจแบบใหม่ ได้แก่
1.ช็อปปิ้งบน Messenger
เป็นฟีเจอร์ที่ Meta พัฒนาร่วมกับ Shopee ทำให้ร้านค้าเชื่อมต่อแค็ตตาล็อกของร้านบน Shopee เข้ากับ Messenger ได้ ทำให้ผู้ซื้อดูแค็ตตาล็อกสินค้าภายในกล่องข้อความ และทำการซื้อผ่านหน้าร้านบน Shopee ได้ทันที โดยไม่ต้องสลับหน้าแอปไปมา เป็นการสร้างประสบการณ์การซื้อที่ไร้รอยต่อ ตั้งแต่การส่งข้อความไปสู่การซื้อสินค้า
ร้านค้าที่ได้ทดลองใช้ฟีเจอร์นี้มีต้นทุนต่อยอดซื้อ (cost-per-purchase) ลดลง 23% มีผลตอบแทนการใช้จ่ายค่าโฆษณา (ROAS) เพิ่มขึ้น 87% โดยตั้งแต่ เม.ย. 2567 ธุรกิจจะเชื่อมแค็ตตาล็อกสินค้าบน Facebook ผ่านการให้บริการจากพันธมิตรด้านโซลูชั่นของ Meta
“ค่าบริการมาจากค่าโฆษณาบน Facebook เป็นหลัก ส่วนค่าธรรมเนียมการขายบน Shopee ร้านค้าก็เสียให้เจ้าของแพลตฟอร์มตามปกติ”
2.เครื่องมือ Live Shopping
Meta ร่วมทดสอบระบบชุดเครื่องมือ Live Shopping กับ V Rich App ผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านการขายผ่านไลฟ์ ทำให้ธุรกิจที่โฆษณาบน Facebook Live ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ Live Shopping ที่ผู้ชมไลฟ์จะกดเลือกดูสินค้าที่นำเสนอได้ไปพร้อม ๆ กัน และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน Messenger ได้สะดวกยิ่งขึ้น
Facebook ยังขยายบริการให้ธุรกิจใช้การบูสต์วิดีโอไลฟ์สตรีมได้มากขึ้น เปิดให้ใช้แล้วในช่วงต้นปี และเมื่อใช้ร่วมกับฟีเจอร์ Live Shopping ผู้โฆษณาจึงมีชุดเครื่องมือที่ช่วยสร้างโอกาสให้ลูกค้าค้นพบแบรนด์และนำไปสู่การตัดสินใจซื้อ ซึ่งฟีเจอร์นี้จะให้บริการผ่านพันธมิตร เช่น V Rich App, ZWIZ.AI และ Kaojao เป็นต้น ตั้งแต่ มิ.ย.”
ไม่ตกขบวน AI เชื่อมอีโคซิสเต็ม
ฟีเจอร์ที่ 3 เป็นการใช้ AI ในการส่งข้อความทางธุรกิจ (AI Agent)
AI Agent เป็นฟีเจอร์ที่พัฒนาจาก Llama 3 โมเดลภาษาขนาดใหญ่ของ Meta ที่ช่วยให้ธุรกิจทุกขนาดตอบคำถามและสานสัมพันธ์กับลูกค้าได้สะดวกขึ้น โดย AI จะทำความรู้จักธุรกิจผ่านแค็ตตาล็อกสินค้า โดยลูกค้าจะแชตกับ AI เพื่อเรียกดูแค็ตตาล็อก และตัดสินใจสั่งซื้อ
“ฟีเจอร์นี้อยู่ระหว่างการทดสอบความสามารถของ AI ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนเป็นลูกค้าของธุรกิจ และกระตุ้นการพิจารณาผลิตภัณฑ์ของลูกค้าให้มากขึ้นผ่านการแชต ซึ่งจะมีการประกาศความพร้อมในการใช้งานในไทยต่อไป”
ผู้บริหาร “Meta” กล่าวด้วยว่า ในปีนี้จะโฟกัสฟีเจอร์ที่ทำงานร่วมกับ Shopee และ V Rich App เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมอีโคซิสเต็มอีคอมเมิร์ซในไทย ที่ปัจจุบันมีการใช้งาน และซื้อสินค้าในหลายแพลตฟอร์ม
“เราจะพัฒนาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์เทรนด์การขายสินค้าบนโลกออนไลน์ เพื่อเสริม Synergy ให้ภาคธุรกิจ ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านอีคอมเมิร์ซที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ซึ่งเทรนด์การขายสินค้าแบบ Affiliate ที่กำลังเป็นที่นิยม ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทีม Meta ให้ความสนใจเช่นกัน”