
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง และลึกล้ำในหลายแง่มุม ทั้งในเชิงเทคโนโลยี ทางธุรกิจ และการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ
“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ “ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์” ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ทั้งผู้กำหนดนโยบายและผู้กำกับดูแลทางเทคโนโลยี ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถา เรื่อง AI Thailand Opportunity ในงานสัมมนา PRACHACHAT BUSINESS FORUM : The Power of AI #เกมใหม่โลกเปลี่ยน จัดโดย “ประชาชาติธุรกิจ”
รมว.ดีอีเอสกับความท้าทาย AI
นายประเสริฐกล่าวในหัวข้อ AI Transform ความท้าทายของประเทศไทยตอนหนึ่งว่า AI เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วในชีวิตประจำวันมักมีเรื่อง AI ตลอดเวลา AI มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ยุค Generative AI เป็นพัฒนาการอีกก้าวหนึ่งของ AI ที่สามารถสร้างข้อมูลเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ สร้างสรรค์เนื้อหาอะไรก็ได้ด้วยคำสั่งเสียงไปเป็นสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย AI ยังเป็นเครื่องมือในการทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
AI เป็นผู้ช่วยคนใหม่ในธุรกิจการเงิน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการพิจารณาการให้กู้เงินอัตโนมัติ ในอดีตธนาคารต้องใช้เวลาพอควรในการพิจารณาคำขอสินเชื่อ ต้องวิเคราะห์ข้อมูลการเงิน เอกสารประกอบ และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย
ปัจจุบัน AI ช่วยให้ธนาคารสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว สามารถดูประวัติการชำระหนี้ พฤติกรรมการใช้จ่าย และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ธนาคารสามารถตัดสินใจอนุมัติหรือปฏิเสธคำขอสินเชื่อได้รวดเร็วขึ้น
AI เป็นนวัตกรรมธุรกิจสร้างสรรค์ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถปลดปล่อยศักยภาพและสร้างสรรค์ผลงานที่น่าทึ่ง
เปิด 5 ยุทธศาสตร์ AI
นายประเสริฐคาดหวังไว้ว่าการสร้างโอกาสจาก AI ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศไทย ขอใช้โอกาสนี้ได้กล่าวถึง 5 ยุทธศาสตร์สำคัญที่จำเป็นในการพัฒนาและการเติบโตของ AI ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เรื่องดาต้าเซ็นเตอร์ และคลาวด์กลางภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย Go Cloud First Policy รวมทั้งการสร้างระบบนิเวศเพื่อส่งเสริมการลงทุนใน Data Center และ AI เรื่องราคาพลังงานที่ถูกลง หรือแม้กระทั่งมาตรการด้านภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุน
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาและส่งเสริมเทคโนโลยี AI เป็นการพัฒนาข้อมูลเปิดรายสาขา เช่น การเกษตร การท่องเที่ยว สุขภาพ การให้บริการภาครัฐ และการเงิน ขณะนี้การส่งเสริมการพัฒนาแอปพลิเคชั่น AI ของไทยผ่านกองทุนเพื่อการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ ของกระทรวงดีอีเอส
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนากำลังคนด้าน AI วันนี้ต้องยอมรับว่าบุคลากรด้าน AI ในประเทศนั้นไม่เพียงพอ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเข้ากำลังคน Depa ได้มีโครงการเพื่อดึงคนที่มีความสามารถจากต่างประเทศเข้ามาด้วยวีซ่า เช่น Global Digital Talent Visa/Long Term Residence Visa รวมถึงคุยกับอีอีซี เพื่อมี EEC Visa
ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเร่งรัดการใช้งาน AI กระทรวงดีอีเอสส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ รวมทั้งการส่งเสริมเรื่องมาตรการสินเชื่อ เพื่อให้วิสาหกิจเหล่านั้นมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10
ยุทธศาสตร์ที่ 5 การสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนที่ถูกหลอกลวง สร้างความน่าเชื่อถือและโปร่งใส มีการตั้งศูนย์ธรรมาภิบาล AI โดย ETDA เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบและจริยธรรมของ AI อีกครั้ง ทำให้ AI Application มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
หนุนเอกชนเป็นยูนิคอร์น
ขณะนี้ กระทรวงดีอีเอสได้มีโครงการที่สำคัญหลายเรื่องที่ดำเนินการ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ขอยกตัวอย่างในบางเรื่องที่กระทรวงกำลังดำเนินการอยู่ดังนี้
โครงการ Health Link เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับประเทศไทย สนับสนุนให้เกิดประโยชน์จากการใช้ข้อมูลในการแข่งขัน โดยการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพของประชาชน ได้ทำงานกับโรงพยาบาลเพื่อเชื่อมโยงข้อมูล ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ
โครงการ Thai Large Language Model เพื่อพัฒนาโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่ เป็นการพัฒนาให้ภาษาไทยมีขีดความสามารถในการทำงานร่วมกับ AI ในอนาคต
โครงการ Strengthening Fruad Detection Ecosystem with Data Lab โครงการนี้จะออกแบบและพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลของกลุ่มมิจฉาชีพทั้งหมดที่เคยมีบัญชีธนาคาร บัญชีหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อที่ทำให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์สามารถทำได้ตามมาตรา 4 หรือมาตรการ CFR
การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ AI จะส่งผลต่อภาครัฐ เอกชน ในประเทศเชื่อว่าภาครัฐจะได้ประโยชน์จากการทำงานที่มีประสิทธิภาพ มีความสะดวกรวดเร็ว ประหยัดเวลาให้ภาคธุรกิจอย่างเต็มที่ Startup สามารถใช้ประโยชน์จาก AI ก้าวสู่ New S-curve และเติบโตขึ้นเป็นยูนิคอร์น AI จะช่วยทำให้งานตรงนี้สำเร็จได้
นายประเสริฐกล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงจะต้องคำนึงถึง คือเรื่องการสนับสนุนและส่งเสริม AI จะทำอย่างไรที่เราจะรักษาความสมดุลระหว่างการส่งเสริมกับการกำกับดูแลให้มีความเหมาะสม ให้ AI พัฒนาได้ แต่จะไม่กำกับเข้มงวดจนเกินไป
AI มีสติ เหตุผล อคติ
ด้านนายสรณ ประธาน กสทช. บรรยายพิเศษหัวข้อ The Role Telecommunication in Artificial Intelligence ว่า ในฐานะของคนที่เป็นแพทย์ รู้สึกตื่นตกใจมากเมื่อเห็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ที่ผสมรวมเข้ากับโรโบติกส์ ที่มีเซ็นเซอร์มองเห็นรับรู้ “มีวิชั่น” ปัญญาประดิษฐ์รู้ใจเรา เห็นเรามีความเป็น Humanoid Intelligence เพราะว่ามันมีสติ มีวิชั่น มีเหตุผลเหมือนเรา
“ผมได้สัมผัสมาตั้งแต่ผมเป็นหนุ่ม ก็คือเฮลท์แคร์ ในฐานะที่ตนเองเป็นแพทย์ AI ในวงการแพทย์มีมานานแล้ว เห็นได้ชัดในช่วงโควิด-19 ในการเอกซเรย์ อย่างเช่นในการวิเคราะห์ประมวลผลภาพเอกซเรย์ปอด เพื่อจำแนกลักษณะที่เสี่ยง หรือในการตรวจเรตินาเพื่อรักษาด้านจักษุแพทย์ ก็มีภาพตากว่า 5 ล้านภาพช่วยเทรนและจำแนกแทนหมอ และอื่น ๆ อีกมาก”
ส่วนเรื่องของความเสี่ยงนั้น แน่นอนว่า AI มีข้อจำกัด เมื่อเจอคำถามยาก เพราะมีอคติ และเหตุผลที่ AI ให้นั้นไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นเหตุผลแบบมนุษย์ ซึ่งจะต้องพิจารณาควบคุมไม่ให้อันตราย ให้เท่าทันการใช้ AI
บทบาท กสทช.กับ AI
ประธาน กสทช. กล่าวว่า ส่วนในบริบทของผู้กำกับดูแลโทรคมนาคม ปัจจุบันการสื่อสารไม่ได้อาศัยเพียงแค่เสียงและข้อความเท่านั้น แต่มีลักษณะเป็น Data to Data ซึ่งต้องพึ่งพา Connectivity และ Community ที่เป็นการรวมเอาทุกอย่างตั้งแต่โครงข่าย 5G ดาวเทียมวงโคจรต่ำ WiFi6 และอื่น ๆ ยิ่งมีการใช้ AI ที่ต้องเชื่อมต่อข้อมูลมากขึ้น ยิ่งเชื่อมโยงโทรคมนาคมทั้งหมดไว้ด้วยกัน
“ปัจจุบันเรามีเลขหมายโทรศัพท์อยู่ราว 120 ล้านเลขหมาย และคลื่นความถี่ 4G ครอบคลุม 98% และ 5G 83% การใช้งานในยุคนี้เราเห็นแนวโน้มการใช้งานถ่ายโอน Data มากขึ้น ความหนาแน่นบนเครือข่ายของเราไม่ด้อยกว่าใครในโลกเลย (ประมาณการว่าคนไทยจะใช้งานดาต้า 1,156 GB ต่อคนต่อปีในปี 2029)”
“ดังนั้น บทบาทที่เราจะนำ AI มาใช้งานการกำกับดูแลโทรคมนาคม ก็มีตั้งแต่การใช้เพื่อ Optimize โครงข่าย คาดการณ์การซ่อมบำรุง ทำระบบปกป้อง Fraud Detection หรือการตรวจสอบบริการ และอื่น ๆ ล้วนต้องหาวิธีนำมาใช้ เพราะตอนนี้เราไม่สามารถหาคนมาช่วยได้แล้ว เราต้องหาเครื่องมืออื่น ๆ มาช่วย”
ในภาคเอกชนเราก็ได้เห็นการกำกับดูแลตัวเองอย่างเข้มข้น แม้แต่ในภาคองค์กรทางศาสนายังให้ความสนใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับดูแล AI เพราะมีความกังวลว่า AI จะทำให้เกิดการใช้ในทางที่ผิด ที่อันตราย
“แม้ กสทช.จะไม่ได้มีหน้าที่ในการกำกับดูแล AI โดยตรง แต่ช่วยกำหนดยุทธศาสตร์ให้ทุกคนเข้าถึงการใช้งาน AI ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ผ่านระบบโทรคมนาคม ผ่านระบบโทรทัศน์ กระจายเสียง สัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และป้องกันการใช้ AI ของคนร้ายที่จะมากลืนสังคม”
กสทช.มีศูนย์ USO Net และร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ทำให้ทุกคนทุกหมู่บ้านทั่วประเทศไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้แล้วทั้งหมด ต่อไปคือการทำให้ทุกคนเข้าถึง AI ได้ โดยเฉพาะในทางการแพทย์ ในตอนนี้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบลก็ได้เริ่มนำเครื่องตรวจตาที่มีข้อมูลจากแมชีนเลิร์นนิ่งผ่านโครงการ USO ไปบ้างแล้ว ต่อไปต้องให้ทุกคนเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้
“ปัจจุบันมีโครงการที่ กสทช.ส่งเสริมคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตทั่วทุกชุมชน หมู่บ้านไปแล้วกว่า 2 หมื่นหมู่บ้าน และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสนับสนุนอีก 4 หมื่นหมู่บ้าน รวมแล้ว 6 หมื่นหมู่บ้าน ในอนาคตเชื่อว่าทุกหมู่บ้านจะเข้าถึง AI ได้ต่อไป เริ่มจาก AI ในระบบสาธารณสุข
“ปัจจุบันทิศทางของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก หรือ Big Tech ทุกแห่งล้วนแข่งขันกันพัฒนา AI ทั้งสิ้น ในส่วนของไทยเชื่อว่าเทคโนโลยี AI จะยกระดับประเทศไทยไปสู่ศักยภาพด้านต่าง ๆ ตอนนี้ประเทศไทยมีโรงพยาบาลศิริราชที่ใช้ระบบ Smart Hospital ต่อไปก็จะมีการใช้ระบบในด้านต่าง ๆ ทั้ง Smart City, Smart Farming ตามมา ซึ่งต่างใช้ AI ทั้งสิ้น”