
สถานการณ์ของอีคอมเมิร์ซระอุขึ้นทุกที เมื่อสินค้าจากจีนเข้ามาทุกทิศทุกทางผ่านช่องทางออนไลน์ ปัจจุบันไม่ใช่แค่ “สินค้า” แต่เข้ามาบริหารจัดการธุรกิจในไทยเอง ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ มีโรงงาน โกดัง ระบบขนส่ง รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เป็นช่องทางการขาย แม้กระทั่งเข้ามาเปิดหน้าร้านออฟไลน์เอง หรือล่าสุดกรณีที่มีการขึ้นป้ายโฆษณากลางเมือง
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับ “ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด ผู้ให้บริการระบบชำระเงินออนไลน์ และผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง TARAD.com หลากหลายแง่มุมที่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ต้องเผชิญ
เกิดอะไรขึ้นกับ SMEs ไทย
“ภาวุธ” กล่าวว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีมูลค่าเฉียด 7 แสนล้านบาท โตขึ้นจากปี 2562 ถึง 41.5% แต่การที่มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซโต ไม่ใช่ว่าเศรษฐกิจไทยจะโตตาม เพราะ SMEs ที่เป็นกระดูกสันหลังกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน และย่ำแย่ลง
ปัจจุบันแพลตฟอร์มประเภท e-Marketplace มี 2 ราย ครอบครองช่องทางการขายสินค้าออนไลน์กว่า 51% ที่เหลือเป็นโซเชียลคอมเมิร์ซ และแพลตฟอร์มของบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีศักยภาพทำได้เอง ทำให้มีอำนาจที่จะขึ้นราคาค่าธรรมเนียมได้ทันที และมักขึ้นพร้อมกัน ทั้งยังปิดกั้นไม่ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้า ซึ่งส่วนนี้สำคัญมากในการพัฒนาการขาย และยังให้บริการด้านการเงินทั้งการชำระเงินและปล่อยกู้ได้เองอีก
“ผมพูดมาตลอดว่า 1-3 ปีมานี้ แพลตฟอร์มเหล่านี้ขึ้นค่าธรรมเนียมกว่า 300% และมีข้อมูลมหาศาล ซึ่งผู้ประกอบการจะไม่เข้ามาในช่องทางนี้ก็ไม่ได้ เพราะทุกคนเข้าและตลาดมันกว้างกว่า สิ่งที่ตามมาคือ รายเล็ก ๆ อย่างร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เคยแข่งกันในท้องถิ่นก็ต้องแข่งในระดับ Region ไม่ใช่แค่ในประเทศ เพราะการค้ามันข้ามพรมแดน ต้องเจอกับสินค้าจีนที่ผลิตได้ถูกกว่า ปริมาณมากกว่า สุดท้ายต้องเล่นเกมลดราคาสู้ ถามว่าผู้ประกอบการรายเล็กจะสู้ราคาของจากจีนที่ทะลักเขาไทยต่อเนื่องได้อย่างไร จึงรู้สึกว่ายิ่งขาย ยิ่งขาดทุน”
และในปีหลัง ๆ มานี้ เริ่มเห็นสินค้าจีนทะลักเข้ามาทั้งที่ดี และที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะมีคนมาทำหน้าร้านออฟไลน์ ทำโกดัง และขนส่งให้แล้ว อีกทั้งราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ยังไม่ต้องเสียภาษีอีก แต่ยังดีที่ในปีนี้ รัฐบาลเริ่มจัดเก็บภาษีแล้ว
“ที่ผ่านมาการปกป้องผู้ประกอบการไทยไม่มีเลย แถมปล่อยปละให้สินค้าไม่ดีทะลักเข้ามาในประเทศ อย่างอุปกรณ์การแพทย์บางอย่างเคยราคาเป็นล้าน แต่ขายบนแพลตฟอร์มแค่สามหมื่น พวกนี้ต้องมีใบอนุญาต อย. หากไปดูการร้องเรียนระหว่าง อย. หรือ มอก. กับแพลตฟอร์ม จะพบว่ามีเป็นร้อยเคส แต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่เหมือนเพื่อนบ้านอย่างอินโดฯ ที่เข้มงวดกับแพลตฟอร์ม และสินค้าจีนมาก จึงเข้ายาก”
“ภาวุธ” บอกว่า เมื่อสินค้าทะลัก สุดท้ายผู้ผลิตสินค้าไทยที่มีโรงงานก็ต้องปิดแล้วหันมาซื้อของจีนราคาถูกมาขายต่อง่ายกว่า
ถามว่าแล้วทำไม เราไม่เอาสินค้าเราเจาะไประบายในจีนบ้าง ต้องบอกว่าด้วยกลไกเดียวกัน Cross-border Trade อย่างแรกคือยาก และทางจีนเข้มงวดมากกว่าเรา ขณะที่ไทย “เวลคัม” ทุกอย่าง
อย่างไรก็ตาม ด้วยกลไกเดียวกันผ่านแพลตฟอร์ม e-Marketplace อย่าง Shopee ที่มีสัดส่วนการขายมากสุดในภูมิภาค รุกเปิดแล้ว 6 ประเทศในอาเซียน ก็เป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยจะนำสินค้าไปขาย
ความท้าทายในการบุก ตปท.
ภาวุธกล่าวถึงการออกไปบุกตลาดต่างประเทศของ SMEs ไทยว่า มีอุปสรรค และความท้าทาย 3 เรื่อง คือ ภาษา, การดำเนินการ และข้อบังคับ เพราะสินค้าแต่ละชนิดมีกฎหมายหรือข้อกำหนดต่างกัน แต่ละชาติก็ไม่เหมือนกัน รวมถึงระบบภาษีต่าง ๆ ในมุม SMEs อาจทำความเข้าใจและดำเนินการเข้าใจได้ยาก
ส่วนเรื่องการดำเนินการ เช่น การขนส่งสินค้า ก็มีกฎหมาย และต้องวางขั้นตอนกับพาร์ตเนอร์ เช่น ต้องมีโกดัง แบบ e-Fulfillment ที่นู่น เหมือนที่สินค้าจากจีนมีโกดังในไทย แค่รอคำสั่งซื้อ ก็จะขนส่งจากโกดังเหล่านั้นทันที ทั้งเรื่องภาษา และวัฒนธรรมที่ต้องนำสินค้าไปโชว์บนแพลตฟอร์มของประเทศต่าง ๆ ทั้งเวียดนาม อินโดฯ มาเลย์
“สิ่งนี้การกำกับดูแล และการเจรจาให้มีการเปิดดำเนินการ รัฐบาลสามารถเข้าไปช่วยเจาะได้ แต่ต้องทำทั้งระบบ แต่กลับมาที่จุดเดิมว่า แล้ว SMEs เรามีอะไรจะเอาไปเจาะ เพราะการผลิตของ SMEs พังหมดแล้ว สู้ไม่ไหว เพราะปล่อยให้สินค้าภายนอกทะลักเข้ามา เราก็ไม่มีอะไรไปขายอยู่ดี ของที่เรามี จีนก็เข้ามาทำเองเอาเทคโนโลยี เอาระบบ เอาวิธีบริหารจัดการมาด้วย มาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยิ่งทำให้ผู้ประกอบการไทยสู้ไม่ไหว เช่น เรามีทุเรียนดี แต่เราผลิตได้น้อย แต่จีนอยากได้เยอะ เขาก็เข้ามาบริหารจัดการเองตั้งแต่ต้นน้ำ”
และในการโอเปอเรต การค้าข้ามพรมแดน มีโกดังที่นู่น มี e-Fulfillment เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ตนอยากทำ และเชื่อว่ายังมีผู้ผลิตรายย่อย หรือ SMEs ไทยที่พอสู้ได้ โดยเฉพาะเรื่อง “อาหาร”
เน้นย้ำการใช้เทคโนโลยี
“ภาวุธ” มองว่า ผู้ค้าออนไลน์หลายรายต้องอย่าใช้แพลตฟอร์มเดียวและหาทางสร้างแพลตฟอร์มเอง เพื่อควบคุมฐานข้อมูลลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว โดยมองหาพาร์ตเนอร์ช่วยกันดูแล
“เราต้องไม่ขายแค่สินค้า แต่เป็นโซลูชั่น และความเชี่ยวชาญ ทั้งระบบบริหารจัดการต่าง ๆ ตั้งแต่ระบบบัญชี ระบบ CRM รวมไปถึง AI ต้องใช้เเล้ว เพราะต้นทุนเทคโนโลยีถูกลง โดยเฉพาะในกลุ่มสตาร์ตอัพไทยที่พัฒนานวัตกรรมเหล่านี้สำหรับ SMEs เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ”
นั่นทำให้ตนคิดว่ากลุ่มสตาร์ตอัพไทย ต้องรวมกันเป็นพาร์ตเนอร์ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่มประสิทธิภาพ และเก็บรักษาข้อมูลเพื่อพัฒนาธุรกิจต่อ จึงพยายามเชื่อมพวกเขาไว้ เรียกว่า Efrastructure สำหรับผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ ให้เลือกใช้เทคโนโลยีได้ครอบคลุม
“สตาร์ตอัพไทยรายใหม่ ๆ จะเริ่มพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ หาได้ยากแล้ว ผมกับกรุงศรีฟินโนเวท จึงจะเปิดกองทุน 1 พันล้านบาทในปีนี้ เพื่อใส่เงินลงในสตาร์ตอัพที่เริ่มโตแล้ว และจะบ่มเพาะขึ้นมาใหม่”
อัพเกรดระบบชำระเงินเอื้อ SMEs
“ภาวุธ” พูดถึงธุรกิจของ “เพย์โซลูชั่นส์” ด้วยว่า เป็นระบบชำระเงินออนไลน์ที่กำลังปรับตัวเข้าสู่ออฟไลน์มากขึ้น เพราะสัดส่วนผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศใหญ่มาก จึงอยากสนับสนุน SMEs ไทยให้โตไปด้วยกัน
“รายได้เราคิดจากค่าธรรมเนียมการชำระเงินบนระบบ Pay Solutions ซึ่งเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ร้านออนไลน์ไม่ว่าลูกค้าจะจ่ายเงินผ่านช่องทางไหน ทั้งบัตรเครดิต การผ่อนชำระอีวอลเลต หรือพร้อมเพย์คิวอาร์โค้ดก็ใช้ได้ ปีที่ผ่านมาเรามียอดการใช้บริการจากเพย์โซลูชั่นส์เพิ่ม 36.84% เป็นยอดธุรกรรมกว่า 4 พันล้านบาท ช่องทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ พร้อมเพย์ และบัตรเครดิต ดึงเงินตราต่างประเทศเข้าไทยได้ถึง 465 ล้านบาท”
ลูกค้า “เพย์โซลูชั่นส์” ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางถึงเล็ก หรือ SMEs ส่วนใหญ่ยังอยู่บนช่องทางออฟไลน์ จึงพยายามจะสื่อสารเพิ่มทีมเซลส์ และทำเครื่องคิดเงิน จ่ายเงินที่เหมาะกับยอดธุรกรรมของร้านค้าเล็ก ๆ ตั้งแต่ในตลาดนัด จนถึงธุรกรรมที่ใหญ่ขึ้นในกลุ่ม B2C และ B2B และจะออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้งาน รวมถึงปรับปรุงพัฒนาระบบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ร้านค้า พร้อมทั้งร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจรายใหม่ ๆ เพื่อเชื่อมต่อบริการใหม่สำหรับร้านค้าเพิ่มขึ้น ทั้งมีโซลูชั่นการบริการที่สร้างคุณค่ามากกว่าการรับชำระเงิน ช่วยตอบโจทย์ทั้งในส่วนงานขาย งานการตลาด เเละสนับสนุนงานบัญชี การเงิน การออกเอกสารเพื่อนำส่งสรรพากร
“การใช้ระบบจ่ายเงินของเราก็จะมีพาร์ตเนอร์ในกลุ่ม Efrastructure ทำให้เก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้ครบถ้วน ตั้งแต่ระบบบัญชี ระบบสต๊อก บริการหลังการขาย แชตบอต จนถึงการชำระเงินที่สำคัญ คือมีตัวช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ จากการขยายบริการไปยัง SMEs แบบออฟไลน์มากขึ้น คาดว่าปีนี้จะมีรายได้ 160 ล้านบาท และช่วยขับเคลื่อนระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซของไทยได้”