
จาก “สนามรบจำลอง” สู่ “กีฬาพาณิชย์” ชวนส่องต้นทุนเจ้าภาพโอลิมปิก มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากกองหนี้ยาว 30 ปี เขาได้อะไรกลับมา
“ประชาชาติธุรกิจ” พาย้อนไปดูจุดเปลี่ยนของ มหกรรมกีฬาโอลิมปิก ที่เปลี่ยนจาก “สนามรบจำลอง” ของชาติมหาอำนาจ สู่ การกีฬาเชิงพาณิชย์ ที่โกยรายได้มหาศาลจากการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ รวมถึงชวนตั้งคำถามการทุ่มทุนมหาศาลของประเทศเจ้าภาพเพื่อหวังผลประโยชน์กลับคืนมาทั้งในแง่ของเม็ดเงิน และการแสดงออกในเวทีโลก แต่ผลประโยชน์ได้มาคุ้มหรือไม่
ประเทศเจ้าภาพโอลิมปิก ลงทุนไปเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
รายได้เจ้าภาพโอลิมปิก คุ้มไหม
The Council on Foreign Relations (CFR) เผยแพร่บทความที่น่าสนใจในชื่อ “เศรษฐศาสตร์ของการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก” ระบุว่า การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2008 ของปักกิ่งสร้างรายได้ 3.6 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายมากกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์
ล่าสุด โตเกียวเกมส์ 2020 สร้างรายได้ 5.8 พันล้านดอลลาร์และค่าใช้จ่าย 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ยิ่งไปกว่านั้นรายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้ตกเป็นของเจ้าภาพ
แต่ IOC เก็บรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 60% ของรายได้จากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ทั้งหมด
โดยทั่วไปแล้วเป็นเงินก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดที่เกิดจากโอลิมปิก!
สิ่งที่รัฐบาล หรือ เจ้าภาพ มองก่อนการแข่งขัน ว่าการจัดงานจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยการสร้างงาน ดึงดูดนักท่องเที่ยว และเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยรวม
อย่างไรก็ตาม การวิจัยหลังโอลิมปิกจบลงมักไม่สอดคล้องกับความเชื่อของรัฐ และเจ้าภาพ “เจ็บทุกราย”
ในด้านการสร้างงาน Robert Baumann และ Bryan Engelhardt นักเศรษฐศาสตร์ ได้ศึกษาการแข่งขันกีฬาซอลต์เลกซิตี้ปี 2002 พบว่า มีการเพิ่มงานระยะสั้น 7พันตำแหน่ง แต่ระยะยาวไม่มีเพิ่ม
และจากการศึกษาของธนาคารเพื่อการฟื้นฟูและการพัฒนาแห่งยุโรป ระบุว่า งานที่สร้างขึ้นจากการก่อสร้างโครงสร้างของโอลิมปิกมักเป็นเพียงชั่วคราว เว้นแต่เจ้าภาพจะประสบปัญหาการว่างงานสูง และงานส่วนใหญ่มักตกเป็นของคนงานที่มีงานทําอยู่แล้ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง
ในด้านการท่องเที่ยว นักเศรษฐศาสตร์ยังพบว่าผลกระทบต่อการท่องเที่ยวนั้นผสมผสานกัน เนื่องจากความปลอดภัย ความแออัด และราคาที่สูงขึ้นที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ทําให้นักท่องเที่ยวจํานวนมากไม่พอใจ
รัฐบาลสเปน โปรโมท ว่า โอลิมปิก บาร์เซโลนาซึ่ง ในปี 1992 ทำให้เมืองกลายเป็นปลายทางยอดนิยมอันดับ 6 ในยุโรป จากเดิมอยู่อันดับ 11 หลังจากการแข่งขันกีฬาฤดูร้อน เช่นเดียวกับ ซิดนีย์และแวนคูเวอร์ต่างก็มีการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ
ตรงข้ามกับ ปักกิ่ง ลอนดอน และซอลต์เลกซิตี้ล้วนมีการท่องเที่ยวลดลงในช่วงหลายปีหลังเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน นักเศรษฐศาสตร์พบว่าผลกระทบของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกต่อการท่องเที่ยวนั้นระบได้ยาก เพราะผสมผสานกัน เนื่องจากความมั่นคง ความแออัด และค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
โอลิมปิก 2016 ที่ริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล เป็นตัวอย่างที่ดีของการลงทุนกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน และพัฒนาเมืองไปพร้อมกัน แต่ก็ประสบปัญห่ามากมาย โดยเฉพาะกับประชาชนที่ส่วนใหญ่ยากจนและเป็นชุมชนแออัด บราซิลตั้งค่าใช้จ่าย 2 หมื่นล้านดอลลาร์ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่หลากหลาย ทั้งที่พัก โรงแรมใหม่ 4 หมื่นห้อง สาธารณูปโภคด้านความปลอดภัย และอื่นๆ ซึ่ง พวกเขามีเจตนาเพื่อฟื้นฟูชุมชนแออัดภายในเมือง
แต่หลังจากกีฬาโอลิมปิกจบลง สถานที่ส่วนใหญ่ก็ถูกทิ้งร้างหรือแทบไม่ได้ใช้งาน
จุดเปลี่ยน โอลิมปิก สู่การแสวงหารายได้และกำไร
โอลิมปิกสมัยใหม่ มีอายุกว่า 124 ปี จัดมาแล้ว 33 ครั้ง เป็นการรื้อฟื้นประเพณีโบราณของชาวกรีกที่จัดกีฬาถวายเทพเจ้าบนเขาโอลิมปัส จัดครั้งแรกในปี ค.ศ.1892 นำโดย ขุนนางฝรั่งเศส “ปิแอร์ เดอ ดูเบอร์แตง” ซึ่งพยายามรวมกลุ่มสมาคมกีฬาของชาติมหาอำนาจขณะนั้น คือ ประเทศอังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส ได้ก่อตั้ง “คณะกรรมการโอลิมปิกสากล” หรือ IOC ขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1892 และเปิดแข่งขันครั้งแรก ณ กรุงเอเธนส์ ใน พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) มีชาติสมาชิกเข้าร่วม 15 ประเทศ
โอลิมปิกสมัยใหม่ในช่วงแรกจึงเป็นการวัดพลังการพัฒนาศักยภาพของนักกีฬา โดยเฉพาะการมาถึงของลัทธิคลั่งเชื้อชาติ-ฟาสซิสม์ ที่เชื่อมั่นในความเหนือกว่าของเชื้อชาติ ผิวพรรณ โดยเฉพาะพรรคนาซีในช่วงก่อนสงครามโลกให้ความสนใจกับการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกอย่างมาก ทั้งพยายามอย่างมากที่จะฝึกฝนและส่งนักกีฬาเชื้อชาติ “อารยัน” เพื่อเอาชนะการแข่งขัน แสดงความภาคภูมิใจ และบางครั้งถึงขั้นกีดกันนักกีฬาผิวสีออกด้วย ทั้งนีี้ชาติใดที่ส่งนักกีฬาคว้าเหรียญทองจำนวนมาก ยังแสดงถึงความแข็งแกร่งพร้อมพรั่ง
โอลิมปิก เป็นสนาม “วัดพลัง” ของชาติมหาอำนาจเรื่อยมา การได้เป็นเจ้าภาพ หรือการเป็นเจ้าเหรียญทอง แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ความพร้อมของเศรษฐกิจและสังคมที่สามารถพัฒนาการกีฬาและความแข็งแกร่งของประชากรตลอดช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จนถึงยุคสงครามเย็น
ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 นี้เองที่ “เทคโนโลยีสื่อสารมวลชน” เปลี่ยนผ่านจากการกระจายเสียง มาเป็นการแพร่ภาพ หรือ “โทรทัศน์” มีมากขึ้น ราวทศวรรษที่ 1970 เป็น Turning Point ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่ทำให้ โอลิมปิก เข้าสู่ “การพาณิชย์”
ต้นทุนเจ้าภาพโอลิมปิก เพิ่ม 3 เท่า
“Andrew Zimbalist” นักเศรษฐศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์โอลิมปิก มองว่า จํานวนผู้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากต้นศตวรรษที่ 20 และจํานวนกิจกรรมกีฬาเพิ่มขึ้น 1 ใน3 ในช่วงทศวรรษที่ 1960
ต่อมาใน โอลิมปิก ปี 1972 ที่เมืองมิวนิก เกิดเหตุสะเทือนขวัญกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์บุกสังหารนักกีฬาอิสราเอล นอกจากทําให้ภาพลักษณ์ของโอลิมปิกเสื่อมเสีย ยังนำไปสู่การเพิ่ม “ต้นทุน” ความปลอดภัย ในการแข่งขันหลังจากนั้น
การศึกษาของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในปี 2024 ประมาณการว่าตั้งแต่ปี 1960 ต้นทุนเฉลี่ยของเจ้าภาพเพิ่มขึ้นสามเท่า
ต่อมา การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1976 ที่ มอนทรีออล ทำให้เริ่มเห็นหายนะทางการเงินจากการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิด โดยเมืองคาดการณ์ค่าใช้จ่ายไว้ที่ 124 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ต้นทุนจริงคิดเป็นหลายพันล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เกิดจากความล่าช้าในการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายสําหรับสนามกีฬาแห่งใหม่ ทําให้เมืองต้องเป็นหนี้ประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งใช้เวลาเกือบ 30 ปี ในการชําระหนี้
ลอสแองเจลิส เมืองเดียวที่เคยได้กำไรจากการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก
“ลอสแองเจลิส” สหรัฐอเมริกา เป็นเมืองเดียวที่เสนอเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1984 โดยไร้คู่แข่ง จึง “ดีล” เงื่อนไขพิเศษกับ IOC ได้ โดยพวกเขาไม่ต้องเสนอสร้างสนามกีฬาและสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ ต่อ IOC เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครจัด ทำให้ “ลอสแองเจลิส” สามารถใช้สนามกีฬาและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมได้เกือบทั้งหมด ไม่ต้องสร้างใหม่
เมื่อรวมกับรายได้จากการออกอากาศทางโทรทัศน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทําให้ลอสแองเจลิสเป็นเมืองเดียวที่ทํา “กําไร” จากการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก
ความสําเร็จของลอสแองเจลิส เย้ายวนใจให้อีกหลายเมือง อยากลองเป็นเจ้าภาพบ้าง จากผู้เสนอเป็นเจ้าภาพแค่ 2 รายในโอลิมปิก 1988 เป็น 12 รายในการจัดเกมในปี 2004 สิ่งนี้ทําให้ IOC สามารถเลือกเมืองที่มีแผนการที่ทะเยอทะยานและมีราคาแพงที่สุด
ตามที่นักวิจัย Robert Baade และ Victor Matheson ชี้ให้เห็นว่า ประเทศกําลังพัฒนาเข้าเสนอตัวเป็นเจ้าภาพเพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าหลังจากปี 1988 ประเทศต่างๆ เช่น จีน บราซิล และรัสเซียกระตือรือร้นที่จะใช้เกมนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในเวทีโลก ประเทศเหล่านี้ต้องลงทุนมหาศาลเป็นหมื่นล้านเหรียญ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น
ในปี 2021 เมือ บริสเบน ออสเตรเลีย จะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ฤดูร้อนปี 2032 นับเป็นเมืองแรกที่ชนะการเสนอราคาโอลิมปิก โดยไร้คู่แข่ง นับตั้งแต่ ลอสแองเจลิส จัดในปี 1984
ค่าใช้จ่ายของเจ้าภาพมีอะไรบ้าง ทำไมสูงกว่างบประมาณทุกครั้ง
บทความ”เศรษฐศาสตร์ของการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก” ของ The Council on Foreign Relations (CFR) ได้เขียนถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดย “ประชาชาติธุรกิจ” แบ่งได้ดังนี้
1.การเสนอแผน 50-100 ล้านดอลลาร์
ค่าใช้จ่ายของเจ้าภาพ มีตั้งแต่ในการวางแผน การจ้างที่ปรึกษา การจัดกิจกรรม และการเดินทางที่จําเป็นอยู่ระหว่าง 50 – 100 ล้านดอลลาร์
โตเกียวใช้เงินมากถึง 150 ล้านดอลลาร์ ในการประมูลที่ล้มเหลวในปี 2016 และประมาณครึ่งหนึ่งสําหรับการประมูลที่ประสบความสําเร็จในปี 2020
2.เตรียมโครงสร้างพื้นฐาน 5,000 – 50,0000 ล้านดอลลาร์
เมื่อเมืองได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพ จะมีเวลาประมาณหนึ่งทศวรรษในการเตรียมพร้อมสําหรับการมาเยือนทั้งนักกีฬาและนักท่องเที่ยว การแข่งขันกีฬาฤดูร้อนมีขนาดใหญ่กว่ามาก ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายแสนคนมาชม และมีนักกีฬากว่าหมื่นคนลงแข่งขันในการแข่งขันกว่า 300 รายการ และมทีมงานประกบด้วย
ความต้องการเร่งด่วนที่สุด คือ การสร้างหมู่บ้านนักกีฬาโอลิมปิก และสถานที่ขนาดใหญ่พอที่จะจัดพิธีเปิดและปิด
โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยและการขนส่ง IOC กําหนดให้เมืองที่เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาฤดูร้อนต้องมีห้องพักในโรงแรมอย่างน้อยสี่หมื่นห้อง ซึ่งในกรณีของ เมืองริโอเดอจาเนโณ จําเป็นต้องสร้างห้องพักโรงแรมใหม่หนึ่งหมื่นห้าพันห้อง ถนน เส้นทางรถไฟ และสนามบินยังต้องได้รับการพัฒนาหรือสร้างขึ้นใหม่
สนามกีฬา “รังนก” ของปักกิ่งในปี 2008 มีค่าใช้จ่ายในการสร้าง 460 ล้านดอลลาร์
โดยรวมแล้วค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มีตั้งแต่ 5,000 – 50,0000 ล้านดอลลาร์ หลายประเทศให้เหตุผลกับการลงทุนเหล่านี้ว่า เป็นโครงสร้างที่สามารถใช้ได้ยาวนาน หลังโอลิมปิกจบลง ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่พัก ถนน สนามบิน สนามกีฬา และอื่นๆ
3.ค่าดำเนินการ 1-2 พันล้านดอลลาร์
ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน คิดเป็นส่วนที่น้อยกว่า แต่สําคัญมาก โดยค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่การก่อการร้าย 9/11 โอลิมปิกซิดนีย์ใช้เงิน 250 ล้านดอลลาร์ในปี 2000 ในขณะที่เอเธนส์ใช้จ่ายมากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2004 และค่าใช้จ่ายยังคงอยู่ระหว่าง 1 – 2 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (สูงขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ในปี 2022 เมื่อมีรายงานว่าโตเกียวทุ่มเงิน 2.8 พันล้านดอลลาร์เพื่อป้องกันโรคเพียงอย่างเดียว)
4.ค่าใช้จ่ายในอนาคต 10-30 ล้านดอลลาร์ ต่อ ปี
ปัญหาอีกอย่าง คือ สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของเจ้าภาพ มีงบประมาณแฝงระยะยาวต่อไปอีหลายปี โดยเฉพาะค่าบำรุงรักษา หลังการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
เช่น สนามกีฬาโอลิมปิกของซิดนีย์มีค่าใช้จ่าย 30 ล้านดอลลาร์ต่อปี ส่วน สนามกีฬา “รังนก” ต้องใช้เงิน 10 ล้านดอลลาร์ต่อปีในการบํารุงรักษา และส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้งานหลังจากการแข่งขันปี 2008 จนกระทั่งเมืองใช้อีกครั้งเพื่อเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาฤดูหนาวปี 2022
สิ่งอํานวยความสะดวกเกือบทั้งหมดที่สร้างขึ้นสําหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เอเธนส์ปี 2004 มีค่าใช้จ่ายที่นําไปสู่วิกฤตหนี้ของกรีซ ในมอนทรีออล สนามกีฬาโอลิมปิกที่รู้จักกันในชื่อ Big O ถูกเรียกว่า Big Owe เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายมหาศาล
ในปี 2024 รัฐบาลควิเบกกล่าวว่าจะใช้เงิน 870 ล้านดอลลาร์ เพื่อเปลี่ยนหลังคาสนามกีฬาที่ไม่ค่อยได้ใช้เป็นครั้งที่สาม
นักเศรษฐศาสตร์ มองว่า ต้องพิจารณาร่วมกับค่าเสียโอกาสของการใช้จ่ายภาคสาธารณะ ที่จำเป็นต้องใช้ในความสําคัญอื่น ๆ และการชําระหนี้ที่เหลือ หลังจากเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน อาจเป็นภาระงบประมาณหลายทศวรรษ เมืองมอนทรีออล ใช้เวลา 30 ปี จากการเป็นเจ้าภาพในปี 1976 จนถึงปี 2006 ในการชําระหนี้
ในขณะที่หนี้จากโอลิมปิก จำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ของกรีซ ถึงกับทำให้ประเทศล้มละลาย