TRUE เปิดผลประกอบการไตรมาส 2/2567 รายได้รวม 5.11 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4.4% เป็นกำไรหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ 2.4 พันล้านบาท ด้านจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ที่ 50.5 ล้านเลขหมาย ลดลงจากไตรมาสก่อน 0.6 ล้านเลขหมาย
วันที่ 2 สิงหาคม 2567 รายงานข่าวจาก บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เปิดเผยว่า ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2567 โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 5.11 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.4% เป็นกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ 2.4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจออนไลน์ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงจากการให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงานและการเพิ่มประสิทธิภาพ
โดยรายได้จากบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 5.2% (YoY) เนื่องจาก ARPU เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3.9% (YoY) รายได้จากบริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 5.5% (YoY) โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของ ARPU อย่างต่อเนื่องที่ 9.6% (YoY) รายได้จากบริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (PayTV) เพิ่มขึ้น 7.0% (YoY) จากรายได้ที่สูงขึ้นจากธุรกิจดนตรีและบันเทิง อย่างไรก็ตาม รายได้จากค่าสมาชิกยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/2567 ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย จำนวน 4,277 ล้านบาท ส่งผลให้มีขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี 1,879 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว กำไรสุทธิหลังหักภาษีจะอยู่ที่ 2,398 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 1,596 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการปรับตัวที่ดีขึ้นของ EBITDA และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ที่ลดลง ส่วนค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาสนี้ อยู่ที่ 6,112 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและยกระดับประสบการณ์ลูกค้า
อีกทั้ง ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังบันทึกการเพิ่มขึ้นของ EBITDA 4,883 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการเติบโตของ EBITDA เป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน สำหรับไตรมาส 2/2567 EBITDA ปรับตัวดีขึ้น 733 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้น 3.1% ซึ่งหากปรับปรุงด้วยผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 2/2566 EBITDA จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 15.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน อันเนื่องมาจากการเติบโตของรายได้และการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 58.6% สำหรับไตรมาส 2/2567
และในส่วนของจำนวนผู้ใช้บริการในไตรมาส 2/2567 พบว่าจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลง 0.6 ล้านเลขหมาย หรือ 1.2% จากไตรมาสก่อน โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 50.5 ล้านเลขหมาย จำนวนผู้ใช้บริการระบบรายเดือนคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ 15.3 ล้าน ผู้ใช้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 3.7 ล้าน
นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า นับตั้งแต่การควบรวมกิจการเมื่อปีที่แล้ว ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างยั่งยืน เราให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ผลประกอบการไตรมาส 2 ของเราสอดคล้องกับแผนการควบรวมกิจการ
“ทรู คอร์ปอเรชั่น วางแผนเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นที่การสร้างกำไรและคุณค่าอย่างยั่งยืนผ่านประสบการณ์ การเติบโต และการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมภายในปี 2568 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการทำกำไรในปี 2567 เรามั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อการเติบโตที่มีกำไร ในขณะที่ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการทำกำไรอย่างยั่งยืนและการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า อุตสาหกรรม ตลาด และประเทศโดยรวม”
ด้าน นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยถึงแผนการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าว่า เรากำลังเร่งการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย โดยได้ดำเนินการพัฒนาไปแล้วกว่า 7,100 สถานี จากทั้งหมด 17,000 สถานี ส่งผลให้คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (NPS) ดีขึ้น เราได้จัดตั้งกลุ่มงานลูกค้าและ AI เพื่อยกระดับการให้บริการด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย
“เรากำลังใช้กลยุทธ์แบบ 360 องศา ในระดับละเอียดเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มความเร็วสูงสุดของ 5G เป็น 2 เท่าผ่านโครงข่ายที่ครอบคลุมกว้างที่สุด ทรู คอร์ปอเรชั่น พัฒนาขีดความสามารถของระบบหลังบ้านแบบอัตโนมัติ (Back-end systems) เพื่อขับเคลื่อนการเป็นดิจิทัลทั่วทั้งองค์กร จากเสาสัญญาณทั้งหมด 59,000 สถานี เราจะพัฒนา 17,000 สถานี โดยมีแผนพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป 10,000 สถานีภายในปี 2567 และส่วนที่เหลือจะแล้วเสร็จในปี 2568″
นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC เติบโต 5.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากการบริหารผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจ อีกทั้งในไตรมาส 2/2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A) ลดลง 3.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังการปรับปรุงผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 2/2566 โดยปัจจัยหลักมาจากประโยชน์ที่ได้รับจากการควบรวมกิจการ
ส่วนต้นทุนเครือข่ายลดลง 7.6% (YoY) อันเป็นผลจากการประหยัดต้นทุนผ่านการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการลดอัตราราคาพลังงาน และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 14.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับประโยชน์จากการควบรวมกิจการในโครงการปรับปรุงด้านการค้าและการพัฒนาองค์กรให้ทันสมัย
“บริษัทได้ผสานแนวคิดการมุ่งเน้นผลการดำเนินงานเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรและมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงโครงสร้าง ส่งผลให้ ทรู คอร์ปอเรชั่น สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”