
มาตรการเก็บ VAT สินค้าข้ามพรมแดนจากอีคอมเมิร์ซ กระทบสายการนำจ่ายพัสดุ วุ่นตีกลับ เหตุผู้ซื้อไม่รับ ราคาไม่ตรงตามแอปฯ ยังไม่มีกฎหมายบังคับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชเก็บภาษีแทน พร้อมโชว์ราคาสินค้าบวกภาษี
วันที่ 25 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า หลังจากกระทรวงการคลังมีมาตรการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% จากสินค้าข้ามพรมแดนราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ที่สั่งซื้อจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ช โดยให้ผู้จัดส่งโลจิสติกส์เป็นผู้เรียกเก็บ ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ค. ที่ผ่านมานั้น
มีรายงานว่าผู้ใช้งานแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหลายรายกำลังเกิดความสับสน กรณีการสั่งซื้อแบบเก็บเงินปลายทาง (CoD) มีการเรียกเก็บค่าสินค้าบวกภาษี ทำให้ราคาเรียกเก็บแตกต่างจากที่ราคาแสดงบนแอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซ ซึ่งแสดงรายการสินค้าตามจริง
ดร. ดนันท์ สุภัทรพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดเผยว่า เริ่มได้รับรายงานจากฝ่ายนำจ่ายพัสดุกำลังประสบปัญหาสินค้าถูกตีกลับ เนื่องจากผู้รับสินค้าไม่ยินยอมที่จะจ่ายเงินปลายทาง เพราะราคาไม่ตรง ทำให้เกิดการ Reverse Logistics ซึ่งขณะนี้ ปณท กำลังจัดกระบวนการนำจ่ายใหม่ให้เหมาะสมเพื่อรองรับพัสดุที่อาจถูกตีกลับมาที่คลัง
“ในมุมมองของผู้ใช้งาน หรือผู้รับสินค้าบางรายเห็นว่ามีการบวกราคาเพิ่มภาษี ซึ่งต่างจากราคาที่ตนกดสั่งในแอป บางรายการเขาสั่งซื้อแล้วได้ส่วนลดจากแอป แต่ภาษีคิดจากราคาเต็มของสินค้าก่อนส่วนลด ทำให้หลายคนเลือกไม่รับสินค้า นอกจากการตามเก็บ Vat จะเป็นภารกิจใหม่ของระบบนำจ่ายของเราเเล้ว สินค้าที่ถูกตีกลับก็จะเป็นภาระย้อนกลับระบบโลจิสติกส์ด้วย แต่ตอนนี้ ปณท ก็กำลังปรับปรุงระบบงานนำจ่ายอยู่”
“เดิมที สินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท คิดเป็น 90% ของสินค้าทั้งหมดจากต่างประเทศ นำจ่ายถึงผู้รับได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาเก็บภาษีจากลูกค้า ต่อมาเมื่อเพิ่มขันตอนการเก็บภาษีแล้วโดนปฏิเสธการจ่ายภาษี ทำให้บุรุษไปรษณีย์ต้องนำสินค้ากลับมาคืนที่ทำการ และหากผู้รับไม่จ่ายภาษีภายใน 7 วัน สินค้าจะถูกส่งคืนไปยังกรมศุลกากร ทำให้ไปรษณีย์ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น”
ดร. ดนันท์ กล่าวด้วยว่า เข้าใจว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกำลังดำเนินการ ทั้งให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป็นผู้รวบรวมจัดเก็บภาษีแล้วนำส่งข้อมูลให้ศุลกากร
หรือแม้กระทั่งการแสดงข้อมูลภาษีสินค้าขาเข้าให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์มก็ควรต้องให้ทำ
“ควรให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป็นผู้จัดเก็บภาษีล่วงหน้า และหากแพลตฟอร์มไม่ปฏิบัติตาม ควรมีมาตรการลงโทษขั้นเด็ดขาด เช่น ปิดการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม เหมือนกับการบล็อกเว็บไซต์พนันออนไลน์ เพราะการเก็บภาษีปลายทางเช่นนี้ ผู้ซื้อไม่ได้เตรียมตัวจ่ายภาษีทันทีที่รับสินค้า แตกต่างจากการเก็บภาษีในขั้นตอนการสั่งซื้อที่ชัดเจนกว่า”
ทำไมไม่เรียกเก็บ VAT ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโดยตรง
จากรายงานที่ผู้ให้บริการขนส่งภายในประเทศ อย่าง ปณท พบเจอข้างต้น นำสู่คำถามว่า ทำไมไม่เรียกเก็บ VAT ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโดยตรง และไม่ต้องจ่ายผ่านบริษัทโลจิสติกส์ เพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน
ด้าน DHL ผู้ให้บริการขนส่งระหว่างประเทศได้อธิบายประเด็นดังกล่าวอย่างน่าสนใจบนเว็บไซต์เว็บไซต์ว่า เป็นเรื่องของความล่าช้าในร่างกฎหมายหลักที่จะออกมาบังคับกับแพลตฟอร์ม
โดยเท้าความว่า จากประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2567 ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในการขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภค ระหว่างผู้ขายในต่างประเทศซึ่งไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับผู้ขายในประเทศไทยที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ประกอบกับประเทศไทยต้องปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งให้กำหนดราคาขั้นต่ำของของที่นำเข้าแต่ละรายเพื่อให้คุ้มค่ากับการจัดเก็บอากรศุลกากร อันเพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ
อธิบดีกรมศุลกากรด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงออกประกาศกรมศุลกากรที่ 116/2567 ระบุการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาทเป็นการชั่วคราวผ่านกรมศุลกากร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม 2567
กรมศุลกากรไม่สามารถออกใบเสร็จรับเงินแยกตามใบนำส่งสินค้า (Air Waybill) แต่จะเป็นใบเสร็จรับเงินรวมของใบขนทั้งหมด ผู้รับจะได้รับเฉพาะเอกสาร DHL Duty invoice/ Tax invoice เท่านั้น
ในระหว่างที่กรมสรรพากรเสนอแก้ไขประมวลรัษฎากร เพื่อเรียกเก็บ VAT จากการขายสินค้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท โดยตรงผ่านแพลตฟอร์มผู้ขายในต่างประเทศ และนำส่งให้กรมสรรพากรเป็นรายเดือน ซึ่งกระบวนการแก้ไขกฎหมายระดับ พ.ร.บ. หรือประมวลรัษฎากรนั้นต้องใช้ระยะเวลา กระทรวงการคลังจึงออกมาตรการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นการชั่วคราวผ่านกรมศุลกากร สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท
กรมศุลกากรจึงขอความร่วมมือผู้ให้บริการโลจิสติกส์ รวมถึง DHL Express ที่ให้บริการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในไทย เป็นผู้เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และนำส่งกรมสรรพากรต่อไป