1 ทศวรรษทีวีดิจิทัล ปรับตัวแค่ไหนจึงทันโลกเปลี่ยน

digital
ฉัตรชัย ตะวันธรงค์-สรณ บุญใบชัยพฤกษ์-สุภาพ คลี่ขจาย-ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต

อีก 4 ปี 8 เดือน ใบอนุญาตทีวีดิจิทัลจะหมดอายุลง แต่ดูเหมือน “ทีวีไทย” จะยังตั้งตัวไม่ได้ ในงานครบรอบ 1 ทศวรรษทีวีดิจิทัล โดยสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) และช่องทีวีสาธารณะ จัดงานสัมมนา “Beyond the Next Step” เพื่อหวังหาคำตอบและทางออกให้กับอนาคตทีวีไทย

ท่ามกลางผู้คนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมทั้งผู้ประกอบการทีวี ผู้ผลิตเนื้อหา นักวิชาการ รวมถึงคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่มาร่วมสัมมนา เห็นตรงกันว่าเทคโนโลยีการแพร่ภาพกระจายภาพและเสียงได้เปลี่ยนแปลงสู่ระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง หรือ OTT กำลังสร้างความท้าทาย ทั้งในแง่ของการดึงผู้รับชม และเม็ดเงิน “โฆษณา” ที่ไหลออกไป

“ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมไฮไลต์และประเด็นสำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องในงานพูดถึง เพื่อมองไปยังอนาคต ถึงอุตสาหกรรมทีวีไทยที่คนในวงการมองว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ กับคำถามสำคัญที่ว่า “ทีวี (ดิจิทัล) จะอยู่รอดและเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร”

ร่วมกันกำหนดอนาคต

ความท้าทายที่แพลตฟอร์มดิจิทัล OTT สร้างขึ้น “สุภาพ คลี่ขจาย” นายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) เรียกว่าเหมือนร้านหาบเร่แผงลอยที่เปิดขึ้นบนถนนคลื่นความถี่ที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลแย่งกันประมูลเพื่อเปิดร้านอาหาร ซึ่งเดิมทุกคนเชื่อว่าจะแบ่งค่าโฆษณาได้สัก 10% จากเจ้าของสัมปทานทีวีรายเดิม จึงแย่งกันประมูลใบอนุญาตจนวงเงินสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท

แต่เมื่อเทคโนโลยีเร่งให้เครื่องทีวีเปลี่ยนไม่ทันการมาถึงของอินเทอร์เน็ต จึงประสบปัญหาอย่างมากจนต้องร้องคณะรักษาความสงบแห่งชาติในขณะนั้นให้ยกเลิกค่าใบอนุญาตงวดสุดท้ายเพื่อเยียวยา แต่ก็แลกมาด้วยกฎ Must Have และ Must Carry เพื่อให้เนื้อหาส่งถึงผู้รับชม

“สรณ บุญใบชัยพฤกษ์” ประธาน กสทช. กล่าวว่า ทีวีไทย เป็นอัตลักษณ์ของชาติ ยังเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้อยู่ ตอนนี้มีทางเลือกอะไร มีรายได้อย่างไร แต่เรื่องของทางเลือกผู้บริโภคก็สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่เนื้อหาที่ดีผ่านคลื่น หรือผ่านอินเทอร์เน็ตแบบต่าง ๆ แน่นอนว่าผู้บริโภคย่อมเลือกทางเลือกที่เหมาะกับตน เนื้อหาในการเป็นทีวีของประเทศก็ยังมีอยู่

ADVERTISMENT

สิ่งที่ต้องเตรียมหลังจากการหมดอายุของใบอนุญาตทีวีสาธารณะในปี 2572 มีหลายเรื่อง ซึ่งต้องพูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอ เพราะไม่รู้เลยว่าอีก 4-5 ปีเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปอย่างไร ถ้าจำกันได้ตอนที่ทุกคนประมูลใบอนุญาตทีวีก็เชื่อว่าทุกอย่างจะดี แต่ไม่ถึง 5 ปีเทคโนโลยีใหม่มาก็ต้องคืนช่องแล้ว ถ้ามองไปข้างหน้าตอนนี้ เดาไม่ได้เลยว่าอะไรจะเปลี่ยน เทคโนโลยีดาวเทียมวงโคจรต่ำจะเปลี่ยนทีวีหรือโทรคมนาคมไหม

“ถ้าทางสมาคมทีวีฯเห็นว่าตัวกฎหมายที่ต้องบังคับให้ประมูลใบอนุญาต คือตัวล็อกไม่ให้ธุรกิจอยู่รอด เราก็ต้องเริ่มคุยกันวันนี้ และแก้กฎหมาย ซึ่งจะต้องเสนอรัฐบาล แน่นอนว่าเราต้องเริ่มทำงานด้วยกัน”

ADVERTISMENT

“เทคโนโลยี-ผู้บริโภค” เปลี่ยนเร็ว

“ฉัตรชัย ตะวันธรงค์” อุปนายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทีวีแต่ละช่องต้องปรับตัว ช่องทีวีแต่ละช่องที่มีในปัจจุบัน มีการปรับตัวแบบต่าง ๆ บางช่องใช้วิธีรีรันโปรแกรมซ้ำ บางช่องเน้นขายของเป็นหลัก เป็นการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด

“หน้าที่สมาคม และพวกเรา คือ การจัดการแนวทางให้อนาคตของโทรทัศน์แห่งชาติอยู่รอดอย่างยั่งยืน เราต้องเห็นว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของชาติที่ต้องดำรงอยู่ต่อไป ตัวอย่างจากหลายประเทศแสดงให้เห็นว่า โทรทัศน์เป็นเครื่องมือเชิงรุกได้ ทั้งการสนับสนุนกีฬา สนับสนุนเนื้อหาด้านวัฒนธรรม และอื่น ๆ คำถามคือ เราได้ทำงานเชิงรุกในด้านนี้บ้างหรือยัง”

ตนเชื่อว่าทุกวันนี้ ทุกคนมีมือถือ 1-3 เครื่องที่ใช้งานนอกเหนือจากโทรทัศน์ดิจิทัล 22 ช่อง และ 5 ช่องสาธารณะ ซึ่งเป็นเสาหลักแห่งชาติ ทั้งมีคอนเทนต์ทางเลือกให้ผู้บริโภคอีกมากมาย แต่ละคนมีสายตาสองข้าง ดูได้เพียงจอเดียว ไม่ว่าจะดูบนมือถือหรือทีวี ปัจจุบันมีช่อง YouTube ประมาณ 2 ล้านช่องในประเทศไทย ทุกช่องเหล่านี้ร่วมกันให้ท่านเลือกบนมือถือ เพื่อรับชมเนื้อหาที่ต้องการ

“สภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนไปแล้ว สำเร็จรูปแบบเก่าไม่ได้ผลอีกต่อไป สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือความช้า เรายังคงเคลื่อนไหวช้าเหมือนเดิม”

“ฉัตรชัย” กล่าวต่อว่า ใน 10 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลง สมาคมพยายามทำงานร่วมกับ กสทช. และภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อขับเคลื่อน และแก้ปัญหาของอุตสาหกรรม ไม่ใช่เพื่อกระเป๋าตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อให้อุตสาหกรรมโทรทัศน์อยู่รอดได้ในระยะยาว วันนี้ คนดูโทรทัศน์ดิจิทัลผ่านโครงข่ายภาคพื้นดินเหลือเพียง 15% ขณะที่คนดูผ่านอินเทอร์เน็ตแซงหน้าไปแล้ว

“นี่เป็นสิ่งที่เราต้องกังวล เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน”

ปลดล็อก กม.แข่งขันเท่าเทียม

สิ่งที่สำคัญคือ การทำงานเชิงรุกในการส่งเสริมการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวและแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล การพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเอง เช่น Video on Demand (VOD) เป็นหนึ่งในแนวทางที่ผู้ประกอบการไทยใช้เพื่อเพิ่มรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ในต่างประเทศ และช่วยชะลอการเสื่อมสลายของอุตสาหกรรมโทรทัศน์ไทย และให้โอกาสในการปลูกฝังและพัฒนาเนื้อหา เนื่องจากยังเห็นคอนเทนต์ดี ๆ และรายการที่ได้รับความนิยม

แต่ทุกคนไม่ควรพึ่งพาแพลตฟอร์มโทรทัศน์แห่งชาติเพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โทรทัศน์ ด้วยการที่รัฐหรือ กสทช. เข้ามามีบทบาทในการปลดล็อกและทำให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียมมากขึ้น

“ผมมองว่า กสทช. พยายามอยู่แล้ว แต่ความเข้าใจและการดำเนินการใน 10 ปีที่ผ่านมา เน้นที่การกำกับดูแลเท่านั้น ซึ่งควรมีมิติของการส่งเสริมควบคู่ไปด้วย ต้องเน้นการปกป้อง และวางยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน ซึ่งในแผนแม่บทฉบับใหม่จะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงโทรทัศน์ของประชาชน โดยโครงการการสตรีมมิ่งแห่งชาติเป็นตัวอย่างหนึ่ง”

“ฉัตรชัย” กล่าวต่อว่า สมาคมร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น Tel Co อย่าง ทรู ดีแทค และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้ แม้แพลตฟอร์มจะเกิดขึ้นช้า แต่การบริหารแพลตฟอร์มเป็นความร่วมมือของผู้ถือใบอนุญาตโทรทัศน์ และพาร์ตเนอร์อื่น ๆ ช่องทีวีสาธารณะที่มีศักยภาพก็จะร่วมมือในการขับเคลื่อนแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งจะเป็นสมบัติส่วนกลางที่ กสทช. มีหน้าที่ประคับประคอง ไม่ใช่เพียงให้บริการฟรีเท่านั้น

แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแห่งชาติ

แนวความคิดเรื่องการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการทีวีเพื่อทำแพลตฟอร์มกลางที่กล่าวมาข้างต้น สอดคล้องกับความคิดเห็นของ “ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต” กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ ที่มองว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นการพยายามรักษาวิธีคิดแบบ Linear ที่มีผังรายการ ขณะที่บริบทเปลี่ยนแปลงสู่การมองแบบ Exponential ที่เนื้อหาไม่เป็นเส้นตรงแต่ต้องไปทุกช่องทางและทุกเวลา ทั้งบน OTT IPTV Satellite TV และอื่น ๆ

“สองแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ต่อสู้กันอยู่ แต่ถ้ามองในมุมที่ต้องรักษาผังรายการไว้ เพราะการดูทีวีแบบดั้งเดิมยังเป็นกิจกรรมของคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะคนที่มีอายุ ซึ่งจะละทิ้งไม่ได้”

ดังนั้น กสทช. มีการคุยกับอุตสาหกรรมมาหลายเดือนแล้วในการมี National OTT Streaming Platform ในเบื้องต้นจะต้องรองรับเนื้อหาแบบ Linear ซึ่งจะตอบโจทย์ในแง่การเผยแพร่คอนเทนต์ การโฆษณา และข้อมูลพฤติกรรมผู้ชม

สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ เรื่องของอินเตอร์เฟซแรก ผู้มีโทรทัศน์ต้องรีโมตเชื่อมผู้ชม-ผู้ฟังกับเนื้อหาจะมีปุ่มรีโมตที่กดเข้าไปแล้วเจอแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแห่งชาติได้เลย แล้วนำพาไปสู่ช่องต่าง ๆ แต่ส่วนนี้ยังเป็นปัญหาในระดับการผลิตระดับโลก เท่าที่คุยการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ เป็นอุตสาหกรรมที่เป็นสากลมาก อีกโฟลว์หนึ่งที่จะเชื่อมแพลตฟอร์มได้ คือ ติดตั้งแอปมากับโทรทัศน์ เป็นอีกความเป็นไปได้หนึ่งในทางเทคโนโลยี

อย่างที่บอกนี่เป็นมาตรการรักษา “ผังรายการ” ทำให้เห็นเงื่อนไขที่ว่าทำอย่างไร ให้เนื้อหาทีวีเดิมไปอยู่บนแพลตฟอร์มใหม่ได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น

เปิดโลกเทคโนโลยีการโฆษณา

ในวงเสวนาคนทีวี นอกจากจะพูดตรงกันว่า “ทีวีแบบดั้งเดิมมีคุณค่าที่ต้องรักษาไว้” แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงอนาคตที่ต้องการเคลื่อนย้ายเนื้อหาสู่แพลตฟอร์มใหม่ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งสิ่งสำคัญที่เป็นรายได้ของอุตสาหกรรมทีวี คือ “โฆษณา” การย้ายแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะเมื่อพูดถึง “แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับชาติ” จึงต้องคำนึงถึงวิธีการโฆษณาที่จะทำให้เกิดรายได้ที่เหมาะสมในอนาคตเพราะเทคโนโลยีโฆษณาที่ดีจะนำไปสู่ประโยชน์ทั้งผู้ลงโฆษณา และสื่อทีวีด้วย

“นิค ฉั่ว” กรรมการผู้จัดการประจำเอเชีย-แปซิฟิกของ INVIDI ผู้ให้บริการเทคโนโลยีโฆษณา และ “เอกชัย ภัคดุรงค์” หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านกลยุทธ์องค์กร บมจ.ไทยคม พูดถึงโฆษณาในทศวรรษหน้า ในหัวข้อ “The Next Decade of TV Advertising”

นิค ฉั่ว

และได้ชูเทคโนโลยีทีวีระบุตำแหน่ง Addressable TV จากความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่แม้คอนเทนต์จะเป็นทีวีแต่ใช้งานผ่านอุปกรณ์หลายประเภท โดยอธิบายความแตกต่างระหว่างทีวีแบบดั้งเดิม ทีวีแบบระบุตำแหน่ง และทีวีออนไลน์

โดยคนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับทีวีแบบดั้งเดิมเป็นอย่างดี ลงโฆษณาหนึ่งรายการ และเผยแพร่ให้ทุกคนเห็นโฆษณาเดียวกันเรียกว่า “Spray and Pray” ขณะที่โฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ปัจจุบันปรับแต่งได้ตามความเหมาะสมของผู้ใช้ตามฐานข้อมูลเพื่อให้ตรงจุด

ถามว่า “ทีวีจะเชื่อมความเป็นออนไลน์ได้อย่างไรจึงจะตรงจุด” ผู้บริหารไทยคม กล่าวว่า ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมที่รับการถ่ายทอดข้อมูลถึงหลังคาบ้าน ประกอบกับ “คลาวด์-AI” มีความก้าวหน้าทำให้สามารถประมวลผลได้ว่าจุดรับส่งสัญญาณตำแหน่งนั้น ๆ ชื่นชอบอะไร มีแนวโน้มดูโฆษณาแบบใด จึงยิงโฆษณาได้ตรงจุดและ “เฉพาะบุคคล” มากขึ้น

“ด้วยทีวีแบบระบุตำแหน่ง เราพยายามนำทีวีดั้งเดิมเข้าใกล้โลกออนไลน์มากขึ้น ปัญหาของการโฆษณาแบบดั้งเดิมคือกว้างเกินไป และไม่รับประกันว่าโฆษณาเฉพาะนั้นจะมีประสิทธิภาพ เช่น หากโฆษณาแพมเพิส โฆษณาจะมีประสิทธิภาพมากกว่าหากกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้ที่มีแนวโน้มจะมีลูกในไทย สถานการณ์อาจดีขึ้น แต่ในสิงคโปร์คนมีลูกน้อยกว่า การสิ้นเปลืองในการโฆษณาจึงมีความสำคัญมากกว่า”

ผู้บริหาร INVIDI ทิ้งท้ายด้วยว่า Addressable TV เพิ่มรายได้ 300-700% ตามรูปแบบการขายที่ใช้ ลดค่าใช้จ่ายโฆษณาทีวีให้ผู้ลงโฆษณา 6.1% ในปี 2567 และการโฆษณาแบบ Addressable TV สร้างรายได้ 7.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2565 เพิ่มขึ้น 373% ระหว่างปี 2560-2565