เจ้าของใหม่ Robinhood นอกจาก ‘ยิบอินซอย’ มีใครอีกบ้าง ?

Robinhood-ยิบอินซอย

“ประชาชาติธุรกิจ” ชวนทำความรู้จักกลุ่มทุนพาร์ตเนอร์ “ยิบอินซอย” ผู้รับไม้ต่อ “Robinhood” จาก SCBX

วันที่ 6 ตุลาคม 2567 หลังจากตามหาตัวละครที่จะรับไม้ต่อกิจการของ “โรบินฮู้ด“ (Robinhood) จากยานแม่ “เอสซีบี เอกซ์” (SCBX) มาเกือบ 3 เดือน วันนี้ชัดแล้วว่าแพลตฟอร์มดีลิเวอรี่เพื่อคนตัวเล็ก ได้ย้ายไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ของกลุ่ม “ยิบอินซอย” บริษัทไทยเก่าแก่อายุเกือบ 100 ปี ที่เกาะเกี่ยวอยู่ในหลายอุตสาหกรรม

ตัวอย่างกลุ่มธุรกิจของยิบอินซอยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น

  • การนำเข้าสินค้า เช่น น้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เท็กซาโก (Texaco) รถแทรกเตอร์ยี่ห้อ David Brown รถบรรทุก Isuzu เครื่องจักรทอกระสอบ เครื่องปรับอากาศ Air Temp
  • การนำเข้าสินค้าอุปโภค บริโภค เช่น ตะเกียงเจ้าพายุตราโคลแมน กระดาษตราสแตบิโล เครื่องเขียน Pelikan, Swallo ผลิตภัณฑ์ตรา 3M กล้องถ่ายรูป Rolleiflex
  • ร่วมกับกลุ่มซีสซั่นส์ บราเดอร์ส เพ้นท์ ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สีทาบ้านคุณภาพรายใหญ่ใน สหราชอาณาจักร ก่อตั้ง “บริษัท ซีสซั่นส์เพ้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสีอุตสาหกรรมคุณภาพสูง
  • ในปี 2489 บุกเบิกการค้าปุ๋ยเคมีในไทย โดยนำเข้าปุ๋ยเคมีคุณภาพสูงจากประเทศเยอรมนี เข้ามาจำหน่าย ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ตราใบไม้”
  • ในปี 2540 เริ่มนำเทคโนโลยีของเน็ตแอป (NetApp) และผลิตภัณฑ์ของ SUN microsystem เข้ามาสร้างตลาดในยุคที่ระบบเปิด (Open system) มุ่งสู่ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเต็มรูปแบบ

จากการตรวจสอบข้อมูลบน Creden Data พบว่า ผลประกอบการปี 2564-2566 ของบริษัท ยิบอินซอย จำกัด เป็นดังนี้

  • ปี 2564 รายได้ 5.01 พันล้านบาท กำไร 166 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 5.10 พันล้านบาท กำไร 11 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 5.96 พันล้านบาท กำไร 129 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ภารกิจการปัดฝุ่นและอัพเกรดโรบินฮู้ดให้ไฉไลยิ่งขึ้น ยังมีพาร์ตเนอร์อีกหลายรายที่เข้ามาร่วมขับเคลื่อนธุรกิจกับเจ้าของคนใหม่ด้วย

รายงานข่าวของบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า SCBX ขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (PPV) ผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่น Robinhood กับกลุ่มผู้ลงทุนซึ่งประกอบไปด้วย

ADVERTISMENT
  1. กลุ่มยิบอินซอย ในอัตราส่วนร้อยละ 50 ของหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของ PPV (บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ในอัตราส่วนร้อยละ 30 และบริษัท มีศิริ จำกัด ในอัตราส่วนร้อยละ 20)
  2. บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในอัตราส่วนร้อยละ 30 ของหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของ PPV
  3. บริษัท เอสซีที เรนทอล คาร์ จำกัด ในอัตราส่วนร้อยละ 10 ของหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของ PPV
  4. บริษัท ล็อกซบิท จำกัด (มหาชน) ในอัตราส่วนร้อยละ 10 ของหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของ PPV

แล้วพาร์ตเนอร์ในกลุ่มทุนใหม่ที่เข้ามารับช่วงต่อกิจการของโรบินฮู้ดเป็นใคร และประกอบธุรกิจอะไรบ้าง ? “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมข้อมูลมาสรุปไว้ ดังนี้

บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

ข้อมูลบนเว็บไซต์ของบริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทก่อตั้งในปี 2537 ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และจัดการเงินทุน รวมถึงเป็นบริษัทแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI เมื่อปี 2544

ADVERTISMENT

ต่อมาในปี 2563 เริ่มจับตลาดการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Token และ DeFi อีกทั้งยังเริ่มศึกษาและพัฒนานวัตกรรมใหม่ในยุค Web 3.0 และเมตาเวิร์ส (Metaverse) ปัจจุบันมี “ชาญ บูลกุล” เป็นกรรมการผู้อำนวยการ และประธานกรรมการบริหารของบริษัท

จากการตรวจสอบข้อมูลบน Creden Data พบว่า ผลประกอบการปี 2564-2566 ของบริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นดังนี้

  • ปี 2564 รายได้ 395 ล้านบาท กำไร 192 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 227 ล้านบาท กำไร 33 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 409 ล้านบาท กำไร 95 ล้านบาท

บริษัท เอสซีที เรนทอล คาร์ จำกัด

จากการตรวจสอบข้อมูลบน Creden Data พบว่า เอสซีที เรนทอล คาร์ จดทะเบียนบริษัทเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2553 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการเช่ายานยนต์จำหน่ายทรัพย์สิน ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 5 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการตั้งแต่ปี 2564-2566 เป็นดังนี้

  • ปี 2564 รายได้ 267 ล้านบาท กำไร 28 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 401 ล้านบาท ขาดทุน 2.69 แสนบาท
  • ปี 2566 รายได้ 522 ล้านบาท กำไร 17 ล้านบาท

บริษัท ล็อกซบิท จำกัด (มหาชน)

ข้อมูลบนเว็บไซต์ของบริษัท ล็อกซบิท จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ล็อกซบิทเริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2525 โดยใช้ชื่อ “บริษัท ซีสเท็ม ออกะไนเซชั่น จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 10,000,000 บาท และเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2536 เปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท ล็อกซเล่ย์ บิสซิเนส อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด” 

จากนั้นเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2544 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อจากเดิมเป็น “บริษัท ล็อกซบิท จำกัด” โดยมีบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก่อนจะจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัท มหาชน จำกัด เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2547 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 450,000,000 บาท และมี “สีหนาท ล่ำซำ” ดำรงตำแหน่งเป็น President ของบริษัท

โดยผลประกอบการของบริษัท ล็อกซบิท จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2564-2566 ที่ปรากฏบน Creden Data เป็นดังนี้

  • ปี 2564 รายได้ 486 ล้านบาท ขาดทุน 27 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 682 ล้านบาท ขาดทุน 6 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 556 ล้านบาท กำไร 113 ล้านบาท

หลังจากโรบินฮู้ดเปลี่ยนมือสู่เจ้าของกลุ่มใหม่เป็นที่เรียบร้อย ต้องติดตามต่อว่าความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในโลกธุรกิจของยิบอินซอยและพาร์ตเนอร์แต่ละรายจะทำให้โรบินฮู้ดเติบโตไปในทิศทางใด

หมายเหตุ : มีการแก้ไขข้อมูลผลประกอบการของบริษัท เอสซีที เรนทอล คาร์ จำกัด ตั้งแต่ปี 2564-2566 ณ วันที่ 6 ต.ค. 2567 เวลา 23.50 น.