คนไทย 1 ใน 4 เป็นเหยื่อมิจฉาชีพปีที่ผ่านมา-ใช้ Facebook หลอกมากสุด

มิจฉาชีพ ภัยการเงิน หลอกลวง

เปิดรายงานสถานการณ์มิจฉาชีพในไทย พบ 1 ใน 4 เป็นเหยื่อมิจฉาชีพในช่วงปีที่ผ่านมา “Facebook” ช่องทางใช้หลอกลวงมากที่สุด และกว่า 1 ใน 3 หรือ 39% สูญเสียเงินให้มิจฉาชีพภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพ มีเพียง 2% ที่ได้ทรัพย์สินคืนทั้งหมดหลังจากถูกหลอก

ภัยการเงิน การหลอกลวงจากมิจฉาชีพ ยังคงเป็นปัญหาที่คนไทยต้องประสบอยู่ในทุก ๆ วัน พร้อมกับกลวิธีการหลอกลวงของเหล่าโจร มิจฉาชีพที่พัฒนาเป็นอย่างมากจากในอดีต และนำไปสู่การหาทางร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ในการรับมือและจัดการเหล่ามิจฉาชีพให้ทัน ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับประชาชน

ข้อมูลจากรายงานสถานการณ์การหลอกลวงจากมิจฉาชีพในประเทศไทย (State of Scams in Thailand) ประจำปี 2567 โดย บริษัท โกโกลุก (Gogolook) ผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น Whoscall ร่วมกับองค์กรต่อต้านกลโกงระดับโลก Global Anti-Scam Alliance (GASA) และ ScamAdviser พบว่ารูปแบบการหลอกลวงที่เปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อคนไทย ผ่านการสำรวจความคิดเห็นของคนไทยกว่า 9,360 คน จากหลากหลายกลุ่มประชากรตลอด 1 ปีที่ผ่านมา

คนส่วนใหญ่ต้องรับมือมิจฉาชีพเดือนละครั้ง

รายงานระบุว่า คนไทยมีความระมัดระวังในการป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพมากขึ้นโดย 55% มั่นใจว่ารู้ทันกลลวงมิจฉาชีพ ด้วยการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ 44% และใช้แอปพลิเคชั่น หรือเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้รับ 37%

อย่างไรก็ตาม 89% เผยว่ายังต้องรับมือกับมิจฉาชีพอย่างน้อยเดือนละครั้ง และ 58% ระบุว่าต้องรับมือกับมิจฉาชีพบ่อยขึ้น โดยเกือบ 10% ระบุว่าถูกก่อกวนจากมิจฉาชีพถี่ขึ้นต่อเดือน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่ 35% ได้รับโทรศัพท์และข้อความหลอกลวงหลายครั้งต่อสัปดาห์

รายงานยังพบว่าการโทรเข้าและส่งข้อความผ่านมือถือยังเป็นวิธีการหลอกลวงที่มิจฉาชีพใช้มากที่สุด ตามด้วย โฆษณาออนไลน์ การใช้แอปพลิเคชั่นต่าง ๆ สำหรับส่งข้อความ และโพสต์บนโซเชียลมีเดีย โดย 5 ช่องทางที่ มิจฉาชีพใช้มากที่สุดในการหลอกลวงได้แก่

ADVERTISMENT
  • Facebook 50%
  • Line 43%
  • Messenger 39%
  • TikTok 25%
  • Gmail 20%

ทั้งนี้การได้รับคืนเงินที่ถูกมิจฉาชีพหลอกไปนั้นทำได้ยากขึ้นเมื่อเทียบกับปีผ่านมา ผลสำรวจจพบว่า กว่า 1 ใน 3 หรือ 39% สูญเสียเงินภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพ โดยมีเหยื่อเพียง 2% ได้เงินที่ ถูกหลอกไปคืนทั้งหมด แต่มีเหยื่อมากถึง 71% ไม่สามารถนำเงินที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้ และ 73% ระบุว่าได้รับ ผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงหลังจากถูกหลอก

เจอกลลวง “แอบอ้างเป็นตำรวจ” มากถึง 22%

การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล (Identity Thief) และการใช้เทคโนโลยี AI เป็นรูปแบบกลโกงที่มิจฉาชีพใช้มากขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ ผลสำรวจระบุว่า การขโมยข้อมูลส่วนบุคคลโดยการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อหลอก ให้เหยื่อโอนเงิน เป็นกลลวงที่พบมากที่สุดถึง 22% แซงหน้าการหลอกลวงให้ซื้อสินค้า (shopping scams) 19%  ตามมาด้วยการออกใบแจ้งหนี้ปลอม หรือการหลอกให้ชำระหนี้ 16% และการหลอกให้ลงทุน 14% ตามลำดับ

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ รายงานระบุว่า คนไทยมีความตระหนักรู้มากขึ้นว่ามิจฉาชีพนำเทคโนโลยี AI มาเป็นเทคนิคใหม่ในการ เขียนข้อความสร้างบทสนทนาเลียนแบบเสียง รวมถึงสร้างภาพของบุคคลหรือสถานการณ์หลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ โดย 66 % ของผู้ตอบแบบสอบถามมั่นใจว่าเคยได้รับข้อความที่เขียนโดยใช้เทคโนโลยี AI

“ปรับมาตรการป้องกัน” เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน

นายจอริจ อับบราฮัม (Jorij Abraham) ผู้จัดการทั่วไป Global Anti-Scam Alliance (GASA) กล่าวว่า รายงานสถานการณ์การหลองลวงจากมิจฉาชีพในประเทศไทยฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกัน เพิ่มการดำเนินการที่เข้มงวดและสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับภัยจากมิจฉาชีพ จากความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลและผลกระทบทางจิตใจที่เกิดขึ้นต่อผู้เสียหาย ทำให้เราจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อปกป้องประชาชนและฟื้นความเชื่อมั่นในการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล

นายแมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกโกลุก (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้จะมีความพยายามในการ ป้องกัน ภัยมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐและเอกชน แต่ประเทศไทยยังคงประสบกับปัญหาจากการ หลอกลวง และความพยายามในการหลอกลวงจากมิจฉาชีพ

รายงานที่เราได้จัดทำ ร่วมกับ GASA และ Scam Adviser ในปีนี้แสดงให้เห็นถึงระดับความถี่ของการหลอกลวงที่เพิ่มขึ้นรวมไปถึง ข้อมูลเชิงลึกกลลวงใหม่ ๆ จากมิจฉาชีพ และผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยพบว่ามูลค่าความเสียหายที่เหยื่อถูกหลอก จากมิจฉาชีพเฉลี่ยสูงถึง 1,106 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 36,000 บาทต่อคนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา