
ช่วงที่ผ่านมา AI ถูกพูดถึงในมุมของการเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัย และเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการเติบโตของภาคธุรกิจต่าง ๆ แต่ในขณะเดียวกันความสามารถของ AI เมื่อประกอบเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแรง ยังสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น
ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวถึงการใช้ประโยชน์จาก AI และเทคโนโลยีล้ำสมัยในประเทศไทยได้อย่างเห็นภาพ ในการบรรยายพิเศษหัวข้อ “AI : New Opportunities” บนเวทีสัมมนา “PRACHACHAT THAILAND 2025 : โอกาส-ความหวัง-ความจริง” จัดโดยประชาชาติธุรกิจ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567
ศ.คลินิก นพ.สรณ เน้นความสำคัญของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจในหลายมิติว่า AI ได้เปลี่ยนแปลงบทบาทจาก “ปัญญาประดิษฐ์” สู่ “ปัญญาเสริม” (Augmented Intelligence) ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของมนุษย์ ในปัจจุบันมีการใช้งาน AI ครอบคลุมชีวิตประจำวันผ่านอุปกรณ์ Internet of Things (IOT) และสมาร์ทโฟน โดยในอนาคต AI จะช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนขึ้น แต่สังคมต้องรับมือกับปัญหาด้านจริยธรรมและความปลอดภัย เช่น การใช้งานข้อมูลส่วนตัว
สำหรับประเด็นความพร้อมของประเทศไทย นพ.สรณกล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่รองรับการนำ AI มาใช้ และพร้อมรองรับการเติบโตของ AI โดยปัจจุบันไทยมีเครือข่าย 4G ครอบคลุม 98% และ 5G ครอบคลุม 83% ของพื้นที่ประเทศ ส่วนสายไฟเบอร์ออปติกครอบคลุม 48% ของพื้นที่
นอกจากนี้ กสทช.จะเดินหน้าสนับสนุนการขยายโครงข่าย 5G และสายไฟเบอร์ออปติกให้ทั่วถึงทั้งประเทศ อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาเครือข่าย WiFi 6E และดาวเทียมวงโคจรต่ำ เพื่อการเชื่อมต่อข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
“เราพยายามให้สายไฟเบอร์ออปติกเข้าถึงครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่ 70,000 กว่าหมู่บ้าน กสทช.ต้องการสร้างโครงสร้างโทรคมนาคมให้พร้อมสำหรับทุกคน ผ่านบริการศูนย์อินเทอร์เน็ตสาธารณะ (USO Net) ที่เรานำไฟเบอร์ออปติกความเร็ว 200/200 Mbps ไปติดตั้งตามหมู่บ้านต่าง ๆ”
ประธาน กสทช.กล่าวอีกว่า ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีสื่อสารมีการเชื่อมต่อแบบ Machine to Machine การเชื่อมต่อลักษณะเป็น Data to Data ข้อมูลจำนวนมหาศาลจะยิ่งนำไปสู่การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์
“สำหรับการใช้งานในฝั่งของการเกษตรกรรม ตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหาร ในแง่ความมั่นคงทางอาหาร หรืออยากเห็นภาพของการนำครัวไทยไปสู่ครัวโลก ก็มีเทคโนโลยีสื่อสารที่มีอยู่เดิมพร้อมใช้แล้ว ทุกวันนี้เรามีเซ็นเซอร์มากมาย เราวัดลม วัดกรดในดิน วัดความชื้น วัดความดัน เราวัดได้ทุกอย่างเพื่อทำให้ทุกอย่างเหมาะสม ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และทำให้การผลิตยั่งยืนขึ้น”
ประธาน กสทช.กล่าวลงรายละเอียดว่า การถ่ายโอนข้อมูลจากเซ็นเซอร์ Machine to Machine ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อที่ดี เมื่อมองมาที่โครงสร้างโทรคมนาคมในประเทศไทยนับว่ามีความพร้อมและครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งโครงข่ายภาคพื้นและดาวเทียม ซึ่งตอนนี้จะเริ่มมีการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำในไทยแล้ว และเร็ว ๆ นี้จะมี WiFi 6E ที่รองรับการถ่ายโอนข้อมูลได้มากขึ้น
“เรามีศูนย์ USO Center ที่เป็นห้องสมุดคอมพิวเตอร์ให้คนมาหาความรู้ และตอนนี้เราจะยกระดับไปสู่อีคอมเมิร์ซ และหนุนการพัฒนาทักษะเพื่อตอบสนองนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่ท่านนายกรัฐมนตรีพูดถึง เช่น ใครที่อยากจะเป็นเชฟประจำหมู่บ้าน ให้มาเสนอที่ USO Center เพื่อรับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ออกไปได้”
นอกจากนี้ กสทช.ยังพัฒนากรอบการแข่งขันที่เป็นธรรม จัดตั้งพื้นที่ทดลองเทคโนโลยี (Regulatory Sandbox) เพื่อส่งเสริมนวัตกรรม เช่น การบำรุงรักษาเครือข่ายแบบคาดการณ์ และการพัฒนาระบบ AI ให้เกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน
อีกส่วนคือด้านบริการสาธารณสุขมูลฐาน และโทรเวชกรรม (Telemedicine) กสทช.ตั้งเป้าติดตั้งไฟเบอร์ออปติก ความเร็ว 500/500 Mbps ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล (รพ.สต.) 3,400 แห่ง เพื่อรองรับระบบเครื่องตรวจตาที่มีข้อมูลจากแมชีนเลิร์นนิ่ง นำไปสู่การเข้าถึงระบบสาธารณสุขของประชาชนอย่างทั่วถึง
“กสทช. ในฐานะองค์กรกำกับดูแล จะต้องสร้างความมั่นใจเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย การแข่งขันอย่างโปร่งใส เป็นธรรม หลีกเลี่ยงการออกกฎเกณฑ์ควบคุมมากเกินไป และทำงานร่วมกับภาคเอกชนในทุกมิติ” ประธาน กสทช.กล่าวปิดท้าย