เทียบเคสต่างประเทศ Sandbox ใช้ BTC-คริปโต ในเมืองท่องเที่ยว

เทียบตัวอย่างต่างประเทศ หลัง ทักษิณ เผยนายกฯ สั่งคลังเร่งศึกษา Sandbox ใช้ Bitcoin-Cryptocurrency ในแหล่งท่องเที่ยว ภูเก็ต-หัวหิน

สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ศึกษาการทำพื้นที่เมืองท่องเที่ยวอย่างเช่น ภูเก็ต-หัวหิน เป็นแซนด์บอกซ์ใช้บิตคอยน์-คริปโต

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวมกรณีศึกษาของต่างประเทศที่ได้ทดลองให้มีการใช้งาน Bitcoin (BTC) ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยว รวมถึงการใช้คริปโตเคอร์เรนซี ประเภท Stable Coin หรือเหรียญที่ตรึงมูลค่าไว้กับเงินเฟียต ในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายกลุ่มที่ไม่สามารถใช้ระบบการเงินดั้งเดิมได้

Bitcoin Tourism

แนวคิด Bitcoin Tourism มีความเชื่อว่าผู้ที่ถือครองบิตคอยน์จำนวนมาก ไม่นิยมการแลกเปลี่ยนออกมาเป็นเงินสด ด้วยเหตุผลหลัก ๆ คือต้องการรักษาความเป็นส่วนตัว ความลับเกี่ยวกับสินทรัพย์ หรือแม้แต่การแสดงไลฟ์สไตล์ต่อต้านการใช้เงินเฟียต

รวมถึงเหตุผลง่าย ๆ ว่าการใช้จ่ายด้วยบิตคอยน์มีค่า Fee ให้กับระบบ ซึ่งบางครั้งค่า Fee สูงกว่าราคาสินค้า ทำให้ไม่เป็นที่นิยมสำหรับการใช้จ่ายทั่วไปในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ก็มีความต้องการใช้สอยเพื่อตอบสนองความต้องการสูง ดังนั้นหากมีพื้นที่หรือระบบนิเวศที่เหมาะสมก็จะดึงดูดเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลได้จากกลุ่มคนเหล่านี้

ADVERTISMENT

ในเชิงระบบนิเวศเทคโนโลยี มีการพัฒนาโครงข่ายย่อยของบิตคอยน์ หรือเลเยอร์ 2 เช่น เครือข่าย Lightning ซึ่งได้รับความนิยมมากในช่วง 1-2 ปีมานี้ เพราะสามารถชำะเงินด้วยบิตคอยน์ได้อย่างรวดเร็วและแทบไม่เสียค่าธรรมเนียม

ขณะเดียวกันบริษัทใหญ่ที่เป็นตัวกลางชำระเงินอย่าง PayPal, visa ได้เข้ามาทำระบบการชำระเงินด้วยบิตคอยน์ รวมถุงแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับการใช้คริปโตโดยเฉพาะ เช่น Travala ได้สร้างโซลูชั่นสำหรับการจองเที่ยวบิน โรงแรม และร้านอาหารโดยใช้บิตคอยน์-คริปโต โดยไม่ต้องโอนสินทรัพย์ออกสู่ระบบการเงินดั้งเดิม (Fiat Money)

ADVERTISMENT

ประเทศที่ตอบสนองต่อแนวคิดเหล่านี้ประเทศแรกคือ “เอลซัลวาดอร์” ที่ประกาศให้ บิตคอยน์ เป็น Legal Tender ในปี 2564 และสร้างโครงข่ายชำระเงิน เลเยอร์ 2 ผ่าน “ดิจิทัลวอลเลตแห่งชาติ” หรือ Chivo ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการชำระด้วยบิตคอยน์ และสเตเบิลคอยน์ที่ตรึงกับเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

จากนั้นได้มีการทำ “แซนด์บอกซ์” การท่องเที่ยวด้วยการทำให้หาด El Zonte แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศเป็น Bitcoin Beach ที่ผู้ค้าขายในท้องถิ่นพร้อมเปิดรับเงินดิจิทัล รองรับการอพยพของชุมชนบิตคอยน์ที่ต้องการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและการให้ความรู้เรื่องบิตคอยน์ในท้องถิ่น

รวมถึงมีแผนการใหญ่ที่จะออกพันธบัตรมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับสร้าง Bitcoin City เมืองที่รองรับระบบนิเวศบิตคอยน์ ตั้งแต่การใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพสำหรับทำเหมืองบิตคอยน์ และการใช้จ่ายด้วยบิตคอยน์ในชีวิตประจำวัน

หลังเอลซัลวาดอร์ ดำเนินการไปไม่นาน “บราซิล” ได้ให้ 3 เมืองท่องเที่ยวรองรับการเป็น Bitcoin Tourism ได้แก่ Jericoacoara, Rolante และ São Thomé และ Letras โดยใช้โครงข่าย Lightning เป็นพื้นฐานชำระเงิน

เมืองเหล่านี้แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่ก็นับเป็นเมืองห่างไกล ตามแนวเทือกเขาสูง ได้รับเงินบริจาคและแรงบันดาลใจในการใช้บิตคอยน์จากเอลซัลวาดอร์ และเริ่มเรียนรู้และใช้งานในชีวิตประจำวัน

สำหรับประเทศที่มีโครงสร้างระบบการเงินที่ไม่มั่นคงอย่างเอลซัลวาดอร์และบราซิลยังมีข้อถกเถียงในเรื่องการใช้บิตคอยน์อยู่มาก โดยเฉพาะประเด็นที่ว่านักท่องเที่ยวอาจชื่นชอบการใช้บิตคอยน์ แต่คนท้องถิ่นอาจไม่นิยม

ผลสำรวจที่เผยแพร่ในเดือนมกราคม 2567 โดยมหาวิทยาลัย José Simeón Central American เปิดเผยว่าชาวเอลซัลวาดอร์เพียง 12% เท่านั้นที่ใช้บิตคอยน์อย่างน้อยหนึ่งครั้งในการทำธุรกรรมทางการเงินในปี 2566 ซึ่งถือเป็นการลดลงอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขในปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 24.4%

การสำรวจครั้งนี้ยังเผยให้เห็นอีกว่าประชากรในพื้นที่กว่า 93% ไม่เชื่อว่าการนำบิตคอยน์มาใช้จะส่งผลดีต่อการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเอลซัลวาดอร์

ส่วนสำคัญคือความผันผวนของราคาบิตคอยน์เมื่อเทียบเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ประชาชนที่ได้รับการ “แจก” บิตคอยน์จากรัฐแลกกลับไปเป็นเงินสด หรือเลือกที่จะเก็บรักษาไว้มากกว่าจะนำมาใช้

Cryptocurrency-Stable Coin

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับผู้พัฒนาบล็อกเชน BNB รวมถึงผู้พัฒนาระบบชำระเงินคริปโตก่อนหน้านี้ว่า แนวโน้มการใช้งานคริปโตในชีวิตประจำวันจะมาอยู่ที่ Stable Coin หรือเหรียญที่ตรึงมูลค่ากับเงินเฟียตมากกว่าการใช้งานบิตคอยน์ เพราะหลายโครงการสเตเบิลคอยน์ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลหลายแห่ง และบริษัทเอกชนจำนวนมากที่ทำระบบการชำระเงินได้ออกแบบให้รองรับการผสานเงินสองระบบเข้าไว้ด้วยกันแล้ว

ตัวอย่างเช่น ในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจับจ่ายในชีวิตประจำวันของชาวดูไบผ่านเครื่องรับชำระเครือข่าย visa และ Mastercard รองรับแอปพลิเคชั่นสำหรับคริปโตเคอร์เรนซี โดยผู้ใช้สามารถโอน Stable Coin ผ่านเครือข่ายของตนนั้นมาอยู่ที่ Virtual Debit Card ของผู้ให้บริการเพย์เมนต์เกตเวย์ เช่น Kast หรือ alchemy (สัญชาติสิงคโปร์) แล้วแตะชำระเป็นค่าเงิน AED หรือ USD ได้เหมือนการแตะบัตรเครดิต/เดบิตของ visa/Mastercard

กล่าวได้ว่า “คริปโต” แม้ไม่เป็นเงินตามกฎหมาย แต่สามารถแปลงผ่านระบบการชำระเงินดั้งเดิมที่ถูกกฎหมาย ก่อนจ่ายให้กับร้านค้า ทำให้ร้านค้าไม่ต้องแบกรับความผันผวน

ไม่ใช่แค่ดูไบ แต่หัวเมืองใหญ่มากกว่า 100 ประเทศรองรับการชำระเงินเช่นนี้ เช่น ในสหรัฐก็มีพื้นที่นำร่องในเมือง San Francisco ที่อ่าว The Blockchain Bay ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่โดดเด่นเป็นผู้นำในการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ เมืองนี้เป็นที่ตั้งของบริษัท คริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชนจำนวนมาก

เช่นเดียวบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา มีบริษัทกว่า 130 แห่ง ที่ยอมรับบิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ บัวโนสไอเรสจึงกลายเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับคริปโต

หรือแม้แต่ในเขตเมือง Zug ประเทศ Switzerland เรียกว่า Crypto Valley ซึ่งรองรับการใช้จ่ายด้วยคริปโต