
โจทย์การทำตลาดของ “แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง” ทั้งจากซีกโลกตะวันตกและตะวันออก เช่น เน็ตฟลิกซ์ (Netflix), ดิสนีย์ พลัส (Disney+), วีทีวี (WeTV) และวิว (Viu) จะยังโฟกัสที่การรักษาฐานผู้ใช้และเพิ่มจำนวนผู้ใช้หน้าใหม่
จากข้อมูลของ Statista ระบุว่า จำนวนผู้ใช้บริการสตรีมมิ่งแบบ Subscription ในประเทศไทย ปี 2567 มีอยู่ 5.42 ล้านคน คิดเป็นอัตราการเข้าถึง (Penetration Rate) 7.7% ของจำนวนประชากรทั้งหมด จึงยังมีช่องว่างทางการตลาดอีกมาก
แต่ละรายต้องช่วงชิงเวลาในการรับชมคอนเทนต์ที่มีอยู่เท่าเดิมกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วยการตลาดต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้คนยอมจ่ายค่า Subscription ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ใคร ๆ ก็อยากรัดเข็มขัดเซฟเงินในกระเป๋า ทำให้สถานการณ์การแข่งขันยังร้อนแรงไม่แผ่ว
WeTV มัดใจ Gen Z
สำหรับ “WeTV” แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในเครือยักษ์ “เทนเซ็นต์” (Tencent) เริ่มให้บริการในไทยปี 2562 ปัจจุบันมีฐานผู้ใช้ 13.5 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงาน อายุ 18-35 ปี ที่สนใจคอนเทนต์เอเชีย โดยเฉพาะซีรีส์จีนและอนิเมะ
เมื่อเจาะรายละเอียดตามภูมิภาคจะพบว่า 60% ของกลุ่มผู้ใช้อยู่ในกรุงเทพฯ อีก 40% อยู่ในหัวเมืองใหญ่ต่างจังหวัด
กลยุทธ์ที่ WeTV เลือกใช้เพื่อเข้าถึงความต้องการของกลุ่มผู้ใช้บนแพลตฟอร์มมี 2 ส่วน
ส่วนแรก ใช้กลยุทธ์ด้านคอนเทนต์ที่หลากหลาย ปัจจุบัน WeTV มีคลังคอนเทนต์รวมกว่า 2,000 คอนเทนต์ ครอบคลุมความต้องการด้านความบันเทิงของผู้ใช้กลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials เช่น WeTV Original, ซีรีส์วาย/ยูริ, ซีรีส์จีน, อนิเมะ และวาไรตี้ เป็นต้น
ต้นปี 2567 WeTV เปิดตัวโปรเจ็กต์รายการไอดอลเซอร์ไววัล “Chuang Asia Thailand” เฟ้นหาไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปกลุ่มใหม่ในไทย มีเมนเทอร์เป็นศิลปินชื่อดัง เช่น แจ็กสัน หวัง สมาชิกวง GOT7 และเตนล์-ชิตพล ลี้ชัยพรกุล สมาชิกชาวไทยของวง NCT ผู้ชนะจากรายการนี้ได้เดบิวต์เป็นศิลปินในชื่อวงว่า “Gen1es”

อีกส่วนเป็นกลยุทธ์ด้านการสร้างประสบการณ์ เชื่อมบริการจากโลกออนไลน์สู่ออฟไลน์ สร้างคอมมิวนิตี้ผ่านการสื่อสารในช่องทางต่าง ๆ เช่น Facebook, Instagram, TikTok และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ KOLs หรืออินฟลูเอนเซอร์ ด้วยการมอบสิทธิพิเศษในการทำคอนเทนต์ เช่น ถ่ายคลิปรีแอ็กชั่นร่วมกับนักแสดง และสัมภาษณ์นักแสดงแบบเอ็กซ์คลูซีฟ รวมไปถึงการขยายฐานผู้ชมผ่านโปรโมชั่น และสิทธิพิเศษ เช่น สิทธิชมฟรี หรือแพ็กเกจพิเศษต่าง ๆ
อีกทั้งยังสร้างความสัมพันธ์กับสมาชิก WeTV VIP ด้วยโปรโมชั่น และกิจกรรมพิเศษ เช่น Premiere Night, Final EP และ Fan Meeting ที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดแฟนคลับ ช่วยสร้างประสบการณ์การมีส่วนร่วมและเพิ่มความพึงพอใจของกลุ่มสมาชิก VIP

Netflix ปูพรมสื่อ OOH
ตัดภาพมาที่ฝั่ง “Netflix” ยักษ์สตรีมมิ่งจากสหรัฐ ที่ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกกว่า 282 ล้านคน นอกจากมีการสนับสนุนกลุ่มผู้ผลิตในหลายประเทศ เพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ ๆ ต่อเนื่อง ยังทำการตลาดผ่านแคมเปญต่าง ๆ รวมไปถึงการลงทุนกับการใช้สื่อนอกบ้าน (Out of Home : OOH) เช่น ป้ายบิลบอร์ด หรือการจัดอีเวนต์ตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อสร้างการมองเห็น (Eyeballs) และการพูดถึงบนโลกโซเชียลอย่างสม่ำเสมอ
ย้อนกลับไปในปี 2565 ช่วงที่ Netflix กำลังจะฉาย Money Heist : Korea-Joint Economic Area งานรีเมกคอนเทนต์ขึ้นหิ้งของสเปน อย่าง Money Heist ก็มีการปล่อยแคมเปญ “ปล้นป้ายโฆษณา” หรือการปล้นพื้นที่โฆษณาตามสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน และป้ายต่าง ๆ จากแบรนด์อื่น ล้อไปกับพลอตเรื่องหลักที่เกี่ยวกับปฏิบัติการปล้นระดับชาติ
ล่าสุด สร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนรักสื่อ OOH ด้วย “โกโกวายักษ์” เพื่อต้อนรับการกลับมาของ “สควิดเกม” (Squid Game) ซีซั่น 2 (กำหนดฉาย 26 ธ.ค. 2567) ถือเป็น K-Content เรือธงของ Netflix ที่มีฐานแฟนคลับอยู่ทั่วโลก และเป็นซีรีส์ที่มีสถิติการรับชมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ Netflix ภายในระยะเวลา 12 วัน
แคมเปญนี้นำแคแร็กเตอร์ “ยองฮี” ตุ๊กตาสังหารในเกม AEIOU หยุด มาทำเป็นหุ่นจำลองขนาดใหญ่ และพาล่องเรือตามเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมโชว์พิเศษ ณ วัดอรุณฯ และไอคอนสยาม ในวันที่ 21-22 ธ.ค. 2567 ก่อนเทียบท่าเป็นจุดเช็กอินบริเวณท่าเรือไอคอนสยาม ระหว่าง 23 ธ.ค. 2567-2 ม.ค. 2568 (ยกเว้น 31 ธ.ค. 2567)
ร่วมมือพันธมิตร “มาม่า-ทรูมันนี่”
การโปรโมตซีรีส์ Squid Game ของ Netflix ยังใช้ “Collaborative Marketing” โดยมีความร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ เช่น จับมือกับ “มาม่า” ปล่อยแคมเปญพิเศษ “มาม่า OK X Netflix Squid Game 2” พร้อมเปิดตัวรสชาติใหม่ “Spicy Korean Squid Ink Flavour” สอดรับกับพฤติกรรมของผู้ชมซีรีส์ที่มักทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปควบคู่ไปด้วย
หรือแม้แต่กับ “ทรูมันนี่” (TrueMoney) ผู้ให้บริการอีวอลเลตรายใหญ่ในไทย ก็มีทำแคมเปญร่วมกับ Netflix เช่น “Younghee Wheel เกมหยุดวงล้อพิชิตล้าน” เพื่อสะสมคะแนน และลุ้นรับรางวัลตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยทุ่มงบฯในการทำแคมเปญ และแจกรางวัลรวมกว่า 18 ล้านบาท


จับมือค่ายมือถือ
อีกส่วนที่ยักษ์สตรีมมิ่งทั้งหลายทำคล้ายกันก็คือ การทำตลาดผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ (โอเปอเรเตอร์) และค่ายบรอดแบนด์ ดังเช่น กรณีเอไอเอสมีแพ็กเกจล่าสุด AIS Play Ultimate มัดรวมแพ็กเกจพรีเมี่ยมของ Netflix, Disney+ Hotstar, iQIYI VIP, Viu Premium, WeTV VIP และ Max Ultimate มาไว้ด้วยกันในราคา 999 บาทต่อเดือน (ตามระยะสัญญาที่กำหนด) ซึ่งในแพ็กเกจนี้ยังรวมช่องทีวีพรีเมี่ยม 22 ช่อง เช่น HBO, Cartoon Network, CNN และ Discovery ทั้งแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของไทยอย่าง Mono หรือ OneD
“รุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์” หัวหน้าส่วนงาน AIS Play กล่าวว่า AIS Play มีแพ็กเกจที่รองรับผู้ใช้ทุกกลุ่ม มีการบันเดิลแพ็กเกจสำหรับมือถือและโซลูชั่นที่เกี่ยวข้อง เช่น 5G Max ที่ออกแบบให้ตรงตามไลฟ์สไตล์ อย่างกลุ่มพนักงานเงินเดือน ที่อยู่คนเดียว เน้นใช้งานโซเชียลมีเดีย หรือดู Netflix เท่านั้น ส่วนกลุ่มครอบครัวจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น เพราะมีการใช้งานหลายคน
“การเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านความบันเทิงไม่ได้ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของลูกค้า AIS อย่างตรงไปตรงมา แต่ส่วนสำคัญคือผู้ใช้งานสตรีมมิ่งจะช่วยลดอัตราการยกเลิกบริการ หรือ Churn Rate ของเรา”
ที่มา AIS Play Ultimate
“รุ่งทิพย์” ฉายภาพให้เห็นว่า ปัจจุบันประเทศไทยมี 29 ล้านครัวเรือน ขณะที่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 10.6 ล้านครัวเรือน โดยพบว่ามีการใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเฉลี่ยครัวเรือนละ 2.2 แอป ทั้งนี้ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอยู่กว่า 22 ล้านยูสเซอร์
“แพ็กเกจ Ultimate ออกแบบมารองรับผู้ใช้บริการที่ใช้หลายแอปต่อเดือน เช่น กลุ่มครอบครัว ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง”
แหล่งข่าวจาก WeTV ประเทศไทย แสดงความเห็นกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเป็นพาร์ตเนอร์กับ AIS Play Ultimate ช่วยให้ WeTV เข้าถึงฐานผู้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของ AIS ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มในการบริโภคคอนเทนต์สตรีมมิ่งสูง รวมถึงเสริมสร้างการรับรู้แบรนด์ WeTV ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
“นอกจากสร้างความร่วมมือกับแบรนด์และผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่ เช่น AIS จะช่วยให้ WeTV เข้าถึงผู้ใช้มากขึ้นแล้ว ในฝั่งผู้ใช้ยังได้รับความคุ้มค่าจากสิทธิพิเศษต่าง ๆ ด้วย”