
BDI กางโรดแมป 3 ปี มุ่ง 4 ยุทธศาสตร์ผ่านวิทยากรข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และเอไอ สร้างแรงกระเพื่อมเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคม 1,000 ล้านบาท เตรียมขึ้นระบบแพลตฟอร์มบิ๊กดาตาแห่งชาติ-โมเดลพื้นฐาน ThaiLLM ในปี 2568 นี้
รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ BDI กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีข้อมูลอยู่จำนวนมาก แต่การใช้งานยังไม่เต็มประสิทธิภาพ ทุกหน่วยงานมีการใช้งานเพื่อประโยชน์ของตน แต่เมื่อ BDI บูรณาการข้อมูลแล้วสร้างประโยชน์มหาศาล
ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์ม Travel Link ซึ่งเป็น 1 ในงานหลักของเรา เดิมทีข้อมูลคนเข้าเมืองเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เก็บข้อมูลนักเดินทางต่างชาติเพื่องานด้าน “ความมั่นคง” แต่เมื่อมีการแชร์ข้อมูลกลับสร้างประโยชน์ให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว
โดย BDI จะเข้าไปเชื่อมโยงและคัดกรองข้อมูลเปราะบางของบุคคล เช่น ตม. เก็บข้อมูลเลขประจำตัวประชาชน รวมถึงข้อมูลชีวภาพเพื่อยืนยันอัตลักษณ์ แต่เมื่อมีความต้องการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เราก็จะเข้ารหัสข้อมูลส่วนบุคคลไว้ แล้วแปลงเป็นแดชบอร์ดใหม่โดยเชื่อมโยงกับโรงแรม ร้านอาหาร และค่ายมือถือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าในพื้นที่ไหนมีการจับจ่ายใช้สอยเท่าไหร่ คนต่างชาติใช้จ่ายอะไร เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจ เช่นการบริหารสต๊อก ตลอดจนการบริหารการท่องเที่ยวในด้านอื่น ๆ
นอกจากนี้ ในปี 2568 BDI จะเริ่มขึ้นระบบของแพลตฟอร์มบิ๊กดาต้าแห่งชาติ (National Big Data Platform) ที่รวมเอาแพลตฟอร์ม Travel Link, Health Link, Envi Link (ข้อมูลการเกษตรและสิ่งแวดล้อม) และ Provincial Data (ข้อมูลบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ) ซึ่งจะมีข้อกฎหมายที่วางเงื่อนไขให้สามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลอื่น ๆ ของรัฐ เช่น ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของมหาดไทย และเอกชนอื่น ๆ รวมกว่า 300 ชุดข้อมูล เพื่อให้สามารถนำข้อมูลของประเทศไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้
“โดยวางเป้าหมายช่วยสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จากการบูรณาการการใช้ประโยชน์ด้านข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกว่า 1,000 ล้านบาท และเพิ่มโอกาสการจ้างงานบุคลากรด้านข้อมูลกว่า 10,000 ราย”
“ลองนึกดูว่าแค่เชื่อมโยงข้อมูลคนเข้าเมืองของ ตม. เข้ากับข้อมูลโรงแรมและมือถือ นำไปสู่การใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้มากขนาดนี้ แล้วถ้าข้อมูลมหาศาลทั้งประเทศเชื่อมกันจะเกิดประสิทธิภาพขนาดไหน”
“การดูว่าประเทศไหนจะโดดเด่นก้าวหน้าในยุคของเอไอ ให้ดูว่าประเทศนั้นเริ่มเก็บข้อมูลและใช้กันอย่างไร” ดร.ธีรณีกล่าว
กางโรดแมป 3 ปีสู่การขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาการข้อมูล-เอไอ
ในส่วนของโรดแมป 3 ปีข้างหน้า BDI ได้ดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) พ.ศ. 2568-2570 เพื่อวางแนวทางการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ของประเทศไทย สำหรับประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและเชิงธุรกิจ รวมไปถึงยกระดับการดำเนินชีวิตของประชาชนให้เข้ากับยุคดิจิทัล
ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนนำเสนอการพิจารณาแก่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดย (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ทั้งสิ้น 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
1) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Developing Required Infrastructure for Big Data Utilization)
2) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานเพื่อตอบโจทย์ประเด็นการพัฒนาสำคัญของประเทศ (Promote the utilization of infrastructure to address key development issues of the country)
3) พัฒนาและใช้ประโยชน์จาก AI ในการบริการ (AI Development and Utilization)
4) พัฒนาสร้างขีดความสามารถด้านข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (Manpower in Big Data and AI) ทั้งนี้ BDI พร้อมขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนอย่างครอบคลุม ตามวิสัยทัศน์ของแผน
สำหรับการดำเนินงานในปี 2568 ยังคงเดินหน้าผลักดันให้เกิดการพัฒนาและขยายผลการใช้งานแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นโครงการแพลตฟอร์มข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ (Health Link) มุ่งเน้นการขยายเครือข่ายเชื่อมโยงระบบข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข
โครงการแพลตฟอร์มบริการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับพื้นที่เมืองอัจฉริยะ (Envi Link) เร่งเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
โครงการแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านท่องเที่ยวแห่งชาติ (Travel Link) ขยายการดำเนินงานระยะที่ 2 ไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวหลักเพิ่มขึ้น
โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลเมือง (CDP-Smart Data Analytics Platform) รุกสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลเมืองอัจฉริยะตามลักษณะเฉพาะของพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5 พื้นที่ ได้แก่ น่าน อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี สงขลา และนครศรีธรรมราช
นอกจากนี้ BDI ยังมุ่งมั่นเป็นกลไกสำคัญในการสร้างระบบนิเวศด้านข้อมูลของประเทศโดยเฉพาะการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก้าวสู่การเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในระยะยาวต่อไป พร้อมทั้งเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตบุคลากร ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน และรองรับต่อกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อให้เกิดการพัฒนากำลังคนที่มีความรู้ความเข้าใจ และสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ไปใช้งานได้จริง
รศ.ดร.ธีรณีกล่าวเพิ่มเติมว่า “BDI พร้อมตอบรับนโยบายรัฐ เรื่องการพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยมีแผนจัดทำ 1) โครงการแพลตฟอร์มข้อมูลขนาดใหญ่ของประเทศ (National Big Data Platform) ในระยะแรกจะเป็นการศึกษาปัจจัยที่สำคัญเบื้องต้น ได้แก่ ด้านเทคโนโลยี ปูพื้นฐานสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
การออกแบบโครงสร้างต้นแบบระบบคลาวด์ การศึกษาและทดสอบกลไกการเชื่อมโยงข้อมูล ต้นแบบด้านการรักษาความปลอดภัยและการให้บริการข้อมูล ด้านข้อมูล/ชุดข้อมูล นำเข้าตัวอย่างข้อมูล/ชุดข้อมูล ที่มาจากโครงการรายอุตสาหกรรม และต้นแบบการปรับปรุงคุณภาพข้อมูล ด้านการใช้ประโยชน์ข้อมูล จะมีการพัฒนาแดชบอร์ด โมเดลต้นแบบการวิเคราะห์ และโมเดล Machine Learning
รวมถึงการจัดกิจกรรม Data Hackathon และการอบรมการใช้ประโยชน์ข้อมูลจากชุดข้อมูลที่จัดเก็บ เป้าหมายของโครงการนี้เพื่อรัฐบาลมีระบบกลางด้านข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงปลอดภัย และสามารถใช้งานสำหรับการบริหารจัดการภาครัฐ เกิดการบูรณาการข้อมูลขนาดใหญ่ข้ามหน่วยงานที่ทำงานร่วมกัน ภายใต้หัวข้อปัญหาเดียวกันได้โดยสะดวกและปลอดภัย นำไปสู่การต่อยอดการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการใช้ประโยชน์จากข้อมูลในวงกว้างในอนาคต
2) โครงการ Thai Large Language Model (ThaiLLM) ที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อพัฒนาและต่อยอดโมเดลด้วยข้อมูลภาษาไทยจำนวนมหาศาล เพื่อให้โมเดลมีความสามารถในการเข้าใจภาษาไทยได้ดี
ปัจจุบัน BDI และเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมมือกันพัฒนา ThaiLLM V.1 โดยระยะแรกจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโมเดลพื้นฐานสำหรับต่อยอด (Foundation Model) และโมเดลเฉพาะทางด้านการแพทย์ ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI ที่มีศักยภาพและเพิ่มประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยมากยิ่งขึ้น”
“ในระยะ 3 ปีหลังจากนี้ (พ.ศ. 2568-2570) BDI พร้อมเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data และ AI ผ่าน 4 ยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมสร้างคุณค่าทางสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ Data Driven Nation”
โดยในปี 2568 ตั้งเป้าสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จากการใช้ประโยชน์ด้านข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกว่า 1,000 ล้านบาท และเพิ่มโอกาสการจ้างงานบุคลากรในตลาด Big Data กว่า 10,000 ราย นอกจากนี้เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อวางแผนต่อยอดการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในระยะถัดไป เพื่อพาประเทศไทยก้าวสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งข้อมูลต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต” รศ.ดร.ธีรณีกล่าวสรุป
ด้าน นพ.ธนกฤต จินตวร First Executive Vice President กล่าวเสริมว่า “โครงการแพลตฟอร์มข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ (Health Link) ยังคงมุ่งเน้นไปที่การขยายเครือข่ายการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ
โดยในปี 2568 BDI เน้นการขยายการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพหน่วยนวัตกรรมที่ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. กว่า 10,000 แห่งให้ครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อสอดรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว และทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพครอบคลุมหน่วยบริการในประเทศให้ได้มากที่สุดผ่าน Central Data Exchange Service หรือคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข
นอกจากนี้เรายังพัฒนาระบบ Refer Electronics เพื่อรองรับการส่งต่อผู้ป่วยและการเบิกจ่ายให้กับหน่วยบริการ เพิ่มความสะดวกในการรับบริการให้ประชาชนไม่ต้องกลับไปขอใบส่งตัว และเพื่อเพิ่มศักยภาพการเบิกจ่ายกับหน่วยกองทุนสุขภาพ
และร่วมกับ สปสช.พัฒนาระบบ AI เพิ่มประสิทธิภาพในการบริการและเบิกจ่าย ตอนนี้นำร่องการใช้งานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และมีแผนขยายต่อทั้งประเทศภายในปี 2568 และเพื่อให้ครอบคลุมการใช้บริการประชาชนเรายังคงเดินหน้าขยายการส่งข้อมูล Personal Health Record ไปยัง PHR App ต่าง ๆ และ Telemedicine ให้มากขึ้น จากการดำเนินงานดังกล่าว เราคาดว่าจะสนับสนุนการดำเนินการบริการสาธารณสุขของประเทศให้มีประสิทธิภาพและสอดรับนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน”
ในขณะที่ ดร.สุนทรีย์ ส่งเสริม รองผู้อำนวยการสถาบัน กลุ่มงานส่งเสริมธุรกิจและองค์ความรู้กล่าวว่า “การดำเนินโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมและประสานเครือข่ายด้านข้อมูลขนาดใหญ่ ยังคงเร่งขยายการให้ความรู้กับผู้ประกอบการ และพัฒนาความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศให้มีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่มั่นคงยั่งยืน ด้วยการผลักดันให้ธุรกิจขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เพราะข้อมูลจะช่วยกำกับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมกับบริบท
ซึ่งการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในประเทศ ให้มีทักษะและเข้าใจการใช้ประโยชน์จากข้อมูลรวมถึงเทคโนโลยีด้านข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้ปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์ เกิดความเข้มแข็ง และเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป”
สุดท้ายนี้ BDI พร้อมเดินหน้าเร่งเสริมทักษะพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล, วิศวกรรมข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อตอบรับยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการออกแบบหลักสูตรสำหรับขับเคลื่อนองค์กรด้วย Big Data & AI กว่า 20 หลักสูตร
โดยมีเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่ระดับผู้ปฏิบัติการ ไปจนถึงระดับผู้บริหารองค์กร เพื่อส่งเสริมศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงเร่งส่งเสริมการเรียนรู้ด้าน Big Data Analytics และ AI แบบออนไลน์ และพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับฝึกทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Practice Platform) ซึ่งจะเปิดกว้างสำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจในการพัฒนาโมเดลด้าน Big Data Analytics และ AI
นอกจากนี้ยังได้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะแห่งอนาคตด้วยตัวเอง ผ่านการเรียนรู้ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน ด้วยหลักสูตรด้าน Data Analytics และ AI สำหรับระดับมัธยมศึกษา โดยเน้นการเรียนการสอน และการประเมินทักษะแบบ Micro-Credentials เพื่อปูรากฐานให้เยาวชนได้เข้าใจถึงประโยชน์ของการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลก