คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ ผู้เขียน : สุวัฑ แซงลาด
‘ต่อวงศ์ ซาลวาลา’ หรือ พี่หาว 2how ผู้เชี่ยวชาญการถ่ายภาพและเทคโนโลยีดิจิตอล เปิดมุมมองกับ ‘ประชาชาติธุรกิจ’ ถึงเรื่องการใช้ AI มาช่วยในการทำงาน พร้อมเปรียบว่าปัจจุบันการพัฒนาของ AI ถือเป็นช่วงยุครอยต่อ และเป็นโอกาสทองของมนุษย์ Low-Tech นอกจากนี้ เขายังให้แง่คิดเรื่องการทำงานของคนในวงการสื่อที่ต้องเพิ่งพาเทคโนโลยีการถ่ายภาพ หรือแม้แต่ธุรกิจที่ต้องปรับตัวมาใช้ AI ให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ได้อย่างน่าสนใจ
ต่อวงศ์เล่าว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา AI ก้าวกระโดดมาก ไม่ว่าจะในแง่ความเก่งของตัว AI เอง หรือว่าวิธีการใช้งานมัน ซึ่งปี 2025 นี้ยังไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าด้วยความอัตราเร่งของการพัฒนาของมัน นับว่ามันพัฒนาไปอย่างมาก แล้วก็อยู่ในจุดที่ใครๆ ก็ใช้ได้ โดยไม่ต้องไปนั่งเรียนรู้อะไรมาก
ดังนั้นจะเห็นว่าคนจะเข้ามาใช้ AI เต็มไปหมดเลยในปัจจุบัน แล้วต่อไปคนที่ ‘เป็นตัวจริง’ อย่างเช่นคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขา ก็จะเข้ามาใช้ AI ซึ่งที่ผ่านมาก็มีอยู่แล้วแต่ว่าจํานวนตอนนี้และหลังจากนี้มันจะเยอะขึ้น แล้วทีนี้พอตัวจริงมาใช้ AI มันจะยิ่งก้าวกระโดด
อย่างแต่ก่อนนี้ เวลาเราถามอะไรกับ AI ไป ข้อมูลมันถูกจํากัดอยู่ในวงที่มันถูกเทรนมา แต่ปัจจุบันพอเราถามอะไรมันปุ๊บ มันไปค้นมาให้เลย แล้วก็มาเรียบเรียงให้ วิธีการใช้งานต่างๆ มันก็จะง่ายขึ้น ซึ่งเทียบกับก่อนหน้านี้มันจะเป็นลักษณะ Chatbot คือเราถามไป-ตอบมา ถามมา-ตอบไป
AI ทำชีวิตให้ง่าย ไม่ต้องเสียเวลา
ยกตัวอย่างลักษณะ AI ง่ายๆ อย่าง ChatGPT เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นโปรเจคแล้ว หมายความว่า เวลาเราจะทํารีวิวสินค้า เช่น รีวิวกล้องถ่ายภาพ เราก็สามารถอัพโหลดคู่มือของกล้องเข้าไปได้หมดเลยนะ ทั้งที่เป็นเล่มมีไฟล์ 400-500 หน้าขึ้นไปเลย เอาไปวางไว้ก่อน แล้วมีข้อมูลก็ใส่เพิ่มเข้าไป จากนั้นก็ค่อยถามมัน เพราะฉะนั้น AI มันก็จะไม่วิ่งมั่วไปหาอะไรที่มันไม่ใช่
นอกจากนี้ ยังสามารถถามได้เลยว่า ระบบ VDO ถ้าจะตั้งค่าแบบนี้ ต้องตั้งค่ายังไง แล้วก็ช่วยวิเคราะห์หน่อยว่า ถ้าผมอยากจะถ่าย Scene แบบนี้ ควรจะใช้อะไร ซึ่งแต่ก่อนนี้เราต้องไปอ่านคู่มือเอง แต่อันนี้ไม่ใช่ เพราะ AI มันจะคิดให้ว่าการถ่ายรูปมีอะไรสําคัญบ้าง จากนั้นมันค่อยวิ่งเข้าไปหาในคู่มือกล้อง แล้วก็เอาคำแนะนำและการตั้งค่ากล้องออกมา หรือจากขั้นตอนที่เป็นเรื่องซับซ้อน แต่พอเราบอกว่า “ช่วยเรียบเรียงข้อดี ข้อเสีย ข้อนู้น ข้อนี้ ให้หน่อย” มันก็ไปวิเคราะห์ให้และสรุปมาให้เข้าใจง่ายขึ้น
รวมถึงการให้ AI ทำการวิเคราะห์ เทียบราคาของกล้อง คู่แข่งแต่ละค่ายเป็นยังไง เปรียบเทียบราคาในสเปคเดิม สิ่งเหล่านี้เราไม่ต้องมานั่งเสียเวลา แค่ให้มันทําให้ มันจะเป็นแบบนี้เลย ซึ่งทั้งหมดนี้ ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที หรือถ้าเก่งๆ 10 นาทีก็เสร็จแล้ว
ปรับ Mindset ใหม่ ให้ AI เป็นพนักงานช่วยเรา
ต่อวงศ์กล่าวว่า ใช้ AI ไม่ต้องไปกลัวมัน ให้มองง่ายๆ ว่า เราได้เป็นหัวหน้างาน มีพนักงาน เก่งๆ 40-50 คน มาคอยช่วยเรา แค่นั้นเอง มันไม่ได้ปรับตัวอะไรมากมาย ที่ต้องปรับตัวคือ เวลาเราจะเหลือเยอะ จะเอาเวลาตรงนั้นไปทําอะไร อย่างผมซึ่งแต่ก่อนกว่าจะได้เริ่มทํางาน (ถ่ายคอนเทนท์) จะทําตอนช่วงบ่ายแล้วเพราะว่าตอนเช้าจะต้องหาข้อมูล ซึ่งเยอะแยะไปหมดเลย หรือบางทีก็หลายวัน กว่าจะได้ข้อมูลตรงนี้มา แต่เดี๋ยวนี้ทำแค่ไม่เกิน 30 นาที ช่วงเช้าแล้วก็เสร็จแล้ว
“ไม่ต้องปรับอะไรมากหรอก เป็นตัวเองนี่แหละ แต่ว่าควรศึกษาข้อมูลงานของตัวเองให้เชี่ยวชาญลึกขึ้น นั่นคือการเอาเวลาที่เหลือ มาศึกษาส่วนหนึ่งเพิ่มเติม แล้วก็ศึกษาจากที่ AI มันให้มา ต้องเป็นคนอยากรู้ อยากรู้อยากเห็น ซึ่งประโยชน์ของ AI มันเยอะมาก” ต่อวงศ์ กล่าว
AI ปี 2025 โอกาสทองของมนุษย์ Low-Tech
สําหรับคน Low-Tech จะได้ประโยชน์จากตรงนี้มาก เพราะ AI มันทําให้ช่องว่างในเรื่องของการเรียนรู้มันต่ำลง คุณไม่ต้องเป็นโปรแกรมมิ่งก็ได้ คุณแค่ใช้เหมือนกับแชท แค่คุยเป็น ถามเป็น ตอบเป็น พิมพ์เป็น หรือทุกวันนี้ไม่ต้องพิมพ์ก็ได้ แค่กดพูดกับมัน ถ้าส่งสวัสดีตอนเช้าได้ ก็ใช้ AI เป็น ไม่เหมือนแต่ก่อนที่คน Low-Tech จะเข้าถึงตรงนี้ได้ยาก
ยกตัวอย่างการใช้งาน Photoshop (โปรแกรมตกแต่งภาพ) ต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะเรียนรู้ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเลย กดสองทีมันก็มาแล้ว อยากลบสายไฟ 15 วินาทีก็เสร็จ ซึ่งเมื่อเทียบกับยุคก่อนที่ต้องใช้ Photoshop ลบสายไฟ คุณต้องเรียนอะไรบ้าง กี่เดือน แล้วความชํานาญอีกเท่าไหร่ แต่ตอนนี้คือคน low tech มา เอาสายไฟออก ทุกงานจะเป็นแบบนี้หมด
เจ้าของกิจการ ควรตั้งรับยังไงเมื่อ AI เข้ามามีบทบาท
ต่อวงศ์กล่าวว่า เจ้าของกิจการยังคงสามารถ Keep คนไว้ได้ โดยยกตัวอย่าง ยกระดับการสร้างผลผลิต (output) จากพนักงาน 400 คน ให้เป็น 4,000 คน ด้วย AI เปรียบเสมือนการติดอาวุธให้พนักงานเก่งขึ้น
“สิ่งที่อยากแนะนําก็คือให้เริ่มใช้มัน ให้คุ้นเคย จะได้รู้สึกว่ามันไม่น่ากลัว เวลาที่เราเข้าไปในเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ AI ก็เลือกสินค้าให้เรา วิเคราะห์ข้อมูลของเรา คอยช่วยเราอยู่แล้ว
หรือเวลาเราขับรถไปในห้างสรรพสินค้า AI ก็ช่วยจำทะเบียน แล้วก็ไปวิเคราะห์ ทั้งตอนเข้า-ออกให้เรา คือมันอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องไปกลัวมัน แค่อยากให้เริ่มใช้ เพราะเหมือนกับว่ามันจะมาอยู่ในชีวิตเรา เราก็ต้องเข้าใจว่ามัน มันคิดยังไง จะได้คุยกับมันรู้เรื่อง แต่ถ้าเราไม่เริ่มใช้เลย สักพัก มันจะพัฒนาไปเรื่อยเรื่อย พอถึงจุดหนึ่งแล้วจะเป็นเหมือนฟังเพลงคนละยุค”
ต่อวงศ์กล่าวในช่วงท้ายว่า ปัจจุบันถือเป็นช่วงรอยต่อ การเริ่มใช้ AI ในช่วงนี้จะดีมาก เพราะไม่ต้องเหนื่อยเรียนรู้เยอะ แล้วมนุษย์ยังพอที่จะเหมือนกับเห็นการพัฒนาและเติบโตของมันไปเรื่อยๆ คือ เราต้องเติบโตไปกับมัน เรียนรู้ไปกับมัน ใช้ของฟรีก็ได้