ปีทองกลุ่ม SAMART พลิกโฉมธุรกิจปั๊มรายได้ใหม่

samart
วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์

หลังจากขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปี จากสารพัดปัจจัยทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การแข่งขัน วิกฤตโควิด และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รุนแรงตลอด 10 ปีมานี้ ดูเหมือนว่าในปี 2568 กลุ่ม SAMART จะกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง พร้อมกับเดินหน้าสะสม Backlog งานโครงการต่าง ๆ และขยายขอบเขตธุรกิจจับกลุ่มงานใหม่สร้างรายได้แบบใหม่ที่อาจเปลี่ยนตนเองจากผู้วางระบบโครงสร้างไอซีทีไปสู่การ Outsource ดูแลระบบเทคโนโลยีให้องค์กรต่าง ๆ

วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและพัฒนาธุรกิจใหม่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น ประกาศว่า ปี 2568 นี้จะเป็นปีแห่งการ Reinvention ปรับตัวเกิดใหม่ ที่อาจเรียกได้ว่าจะเป็นปีทอง สำคัญของบริษัทในรอบทศวรรษอีกด้วย

ปิดความเสี่ยง พลิกทำกำไร

“หลายคนอาจเห็นว่าช่วงสิบปีมานี้กลุ่มสามารถไม่ค่อยเคลื่อนไหวอะไร แต่จริง ๆ ที่ผ่านมา เราไม่ได้หยุดนิ่ง โดยมีการปรับตัวเพื่อรองรับการเข้าสู่ยุค Digital อย่างเต็มรูปแบบ”

เขายังโชว์กราฟแสดงความสัมพันธ์ของหุ้นบริษัทกับสถานการณ์ความเป็นไปของประเทศนับตั้งแต่รัฐประหารเป็นต้นมา ก็มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย สำหรับบริษัทเองก็เลิกธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือ และหันกลับไปโฟกัสการเข้าไปทำโครงการที่สร้างรายได้ประจำ 5 ปีขึ้นไป เพราะมองว่าหากเกิดผลกระทบกับการเบิกจ่ายงบประมาณ หรือการเซ็นโครงการใหม่ ๆ ก็ยังมีรายได้เข้ามา

นอกจากนี้ ยังรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่และพยายามรักษาการเติบโตในธุรกิจเดิมควบคู่กันไป สร้างรายได้ผ่านโมเดลธุรกิจ B2G2C มากขึ้น ด้วยการศึกษาความต้องการของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อพัฒนาด้านการให้บริการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แล้วเข้าไปลงทุนพัฒนาและติดตั้งระบบให้ก่อน

และในปี 2567 มีการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการเซ็นสัญญาในหลายโครงการ มีมูลค่าถึง 4.8 พันล้านบาท และคาดว่าในปี 2568 มีโอกาสเพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านบาท

ADVERTISMENT

“ปีนี้จะเป็นปีทองของกลุ่มสามารถในรอบ 10 ปี เน้นสร้างพอร์ตในหลากหลายธุรกิจ เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงและสร้างโอกาสทางธุรกิจ ปีนี้จึงตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 13,500 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยพุ่งเป้าในการสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่งด้วยการเพิ่มรายได้ประจำประมาณ 25%”

Outsourcing 2.5 หมื่นล้าน

“แม่ทัพกลุ่มสามารถ” กล่าวว่า นอกจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เซ็นโครงการใหญ่ถึง 10,000 ล้านบาทแล้ว อีกหนึ่งในโอกาสคือ การที่ภาครัฐได้สร้างบริการพื้นฐานที่พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ต้องใช้งบประมาณเพื่อดูแลระบบบริการแต่ใช้งบฯลงทุนสูง จึงมีช่องว่างให้กลุ่มสามารถใช้ความเชี่ยวชาญเข้าไปเป็นเอาต์ซอร์ซ ดูแลจัดการ เช่น เรื่องของระบบตรวจรักษาความปลอดภัย (Security Screening) กล้องซีซีทีวี และสมาร์ทซิตี้ต่าง ๆ รวมถึงระบบ Security Printing สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ต้องจัดเก็บภาษี และค่าธรรมเนียม (Tax & Fees) และระบบขนส่ง (Transportation)

ADVERTISMENT

“เมื่อถามว่าหากได้งานเอาต์ซอร์ซตามเป้างบฯลงทุนจะอยู่ที่เท่าใด ทางกลุ่มสามารถกล่าวว่า อาจสูงถึง 7 พันล้านบาทในขณะที่งานโครงการอื่น ๆ ลงทุนไม่มาก เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำต่อเนื่องอยู่แล้ว”

“คาดว่างานในกลุ่มนี้จะมีมูลค่าถึง 2 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับโปรเจ็กต์ศักยภาพสูง ก็คาดว่าจะมีงานในมือถึง 3 หมื่นล้านบาท”

ขยายธุรกิจสู่พลังงานสะอาด

แผนการใหญ่อีกประการ คือ ผลักดันบริษัทในเครืออย่าง “เทด้า” ที่เชี่ยวชาญเรื่องการออกแบบ จัดหาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง และก่อสร้างสถานีไฟฟ้า เป็นหัวหอกในการวางโมเดลธุรกิจสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมเรื่องพลังงานสะอาด และการซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดยกำลังอยู่ระหว่างศึกษา และหวังว่าธุรกิจใหม่จะสร้างรายได้ให้กับกลุ่มสามารถต่อไป

“การขยายธุรกิจใหม่นี้ต้องดูความเป็นไปได้ว่าจะรวมเอาธุรกิจภายในของกลุ่มสามารถที่เกี่ยวข้องกัน แยกมาตั้งสายธุรกิจใหม่ หรือจะเป็นการซื้อควบรวม หรือลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจเหล่านี้”

สำหรับสายธุรกิจ Digital Communications ที่ผ่านมา เป็นธุรกิจที่ขาดทุนมากมาหลายปี นำโดย บมจ.สามารถดิจิตอล เน้นธุรกิจให้บริการ Trunk Radio แต่จากนี้ไปมีโอกาสพลิกกลับมาทำกำไรได้ และในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนมากกว่า 50% และจะเป็นปีแรกในรอบ 10 ปี ที่จะหยุดการขาดทุน กลับมามีผลการดำเนินงานเป็น “บวก”

โครงการ DTRS (วิทยุ Trunk Radio) มีการรับรู้รายได้จากการจำหน่ายเครื่องวิทยุลูกข่ายและค่าใช้บริการ Air Time ประมาณ 800 ล้านบาท และพุ่งเป้าขยายจำนวนผู้ใช้บริการไปยังหน่วยงานผู้ให้บริการประชาชน ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น การปกครองส่วนท้องถิ่น, บรรเทาสาธารณภัย และการแพทย์ฉุกเฉิน เป็นต้น โดยตั้งเป้าจะมี Subscriber ถึง 9 หมื่นรายในปีนี้ และ 1.2 แสนราย ในปี 2026

ส่วนธุรกิจสายมูโดย บ.ลัคกี้เฮงเฮง ได้นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้กับศาสตร์สายมู เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล โดยการนำเสนอบริการ AI Horo ผ่านพันธมิตรธุรกิจต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ดี ๆ ใหม่ ๆ ของสายมู รวมถึงการรุกตลาดธุรกิจของบริการทำบุญของ Thai Merit อีกด้วย

ธุรกิจวิทยุการบินติดลมบน

สำหรับสัมปทานโครงข่ายควบคุมจราจรทางอากาศที่ประเทศกัมพูชา นำโดย บมจ.สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่น ก็ฟื้นตัวกลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว ทั้งได้อานิสงส์ในการสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาลกัมพูชา และการสร้างสนามบินใหม่ที่เกาะกง

“สัมปทานในลาว ก็จะเป็นอีกหนึ่งรายได้ต่อเนื่องที่จะเข้ามาในอนาคต และปี 2568 ตั้งเป้ารายได้กลุ่มธุรกิจนี้ที่ 6,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 9%”

และในปีนี้จะมีการเปิดสนามบินนานาชาติพนมเปญแห่งใหม่ คาดว่าจำนวนผู้โดยสารอาจมีมากถึง 7 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเที่ยวบินโดยรวมเพิ่มขึ้นถึงกว่า 1 แสนเที่ยวบิน ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างโดดเด่น

ปักธง “ใหม่ ใหญ่ ยาว”

สายธุรกิจ Digital ICT Solutions มีส่วนสำคัญในการเดินหน้าประมูลงานภาครัฐ และจะขยายฐานสู่เอกชนมากขึ้นด้วยบริการใหม่ ที่เป็น Tailored-Made Software กับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ซึ่งในปีนี้ก็จะมีการทำระบบ Core Bank มี Data Exchange ให้ภาคเอกชน

“ที่สำคัญคือต้องเป็นงานที่มีสัญญายาว 5 ปีขึ้นจะดีมาก เพราะเราต้องการเพิ่มรายได้ประจำเป็น 25% และป้องกันความเสี่ยงอื่น ๆ ปีนี้มุ่งเน้นการสร้างโครงการใหญ่ เพื่อช่วยให้ลูกค้าลดภาระด้านงบประมาณ ด้วยรูปแบบ Outsource Services สร้างรายได้ประจำระยะยาว เพื่อความยั่งยืนในการประกอบธุรกิจ”

สำหรับเป้ารายได้ปี 2568 อยู่ที่ 6,500 ล้านบาท มั่นใจว่าสายธุรกิจ ICT จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 40% ด้วยโอกาสจากหลายโครงการที่เลื่อนมาจากปีที่แล้ว ประกอบกับโครงการใหม่จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ จากภาครัฐ คาดว่าในปีนี้จะมีโครงการใหม่ ๆ ที่จะเข้าร่วมประมูล ทั้งโครงการรูปแบบ Outsource Services ขนาดใหญ่หลักหมื่นล้านบาท มูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท ทั้งในส่วนที่เป็น Network Solutions, Enhanced Technology Solutions และ Business Applications ซอฟต์แวร์ธุรกิจ

บริการโซลูชั่นที่ออกแบบเฉพาะธุรกิจที่ได้มีการเซ็นโครงการไปแล้ว เช่น โซลูชั่นด้านสาธารณูปโภคไฟฟ้า เช่น AMR, AMI และ Smart Meter, ระบบการเงิน Core Banking Solutions และ e-Payment Solutions, บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ประกอบการในธุรกิจภาคการขนส่ง เช่น Electronic Data Interchange (EDI) และ Supply Chain Management