
การเติบโตของอุตสาหกรรม “อีคอมเมิร์ซ” ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทย แต่ขณะเดียวกันก็นำมาซึ่ง “ความท้าทาย” ที่โหด และหินกว่าเดิม ท่ามกลางแลนด์สเคปของตลาดที่เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก และซับซ้อนกว่าในอดีต ทำให้ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจเพื่อเตรียมพร้อม ตั้งรับ และพาตนเองไปอยู่ใน Winning Zone ของปี 2025 ให้ได้
สแกนตลาดอีคอมเมิร์ซ
ในงาน Priceza Thailand’s E-Commerce Trends 2025 “ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา” ผู้ร่วมก่อตั้ง Priceza แพลตฟอร์มเปรียบเทียบราคา และในฐานะนายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (THECA) สรุปภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2024 ที่ผ่านมาว่า จากการวิเคราะห์ของ SCB EIC มูลค่าตลาดอยู่ที่ 1 ล้านล้านบาทแล้ว และในปี 2025 มีโอกาสขยายตัวอีก 7% เป็น 1.07 ล้านล้านบาท
มาร์เก็ตเพลซ (Marketplace) เช่น Shopee และ Lazada ยังเป็นช่องทางที่คนไทยนิยมซื้อสินค้ามากที่สุด มีส่วนแบ่ง 50% ตามด้วย VDO Commerce เช่น TikTok และ YouTube (20%), Social Commerce เช่น Facebook และ Instagram (18%), Quick Commerce & Grocery เช่น Grab และ LINE MAN (8%) และ e-Tailers & Brand.com (4%)
“มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซ เมื่อเทียบกับมูลค่าค้าปลีกของไทยอยู่ที่ 25% หมายความว่าใน 100 บาท คนไทยใช้กับการซื้อของออนไลน์ 25 บาท ส่วนที่เหลือซื้อของหน้าร้าน แต่จากแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตต่อเนื่อง น่าจะทำให้สัดส่วนเงินที่ใช้กับช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นแน่นอน”
Affiliate รุ่ง 3C ขับเคลื่อน
“ธนาวัฒน์” กล่าวว่า สิ่งที่น่าจับตามาก ๆ ในปี 2025 คือ Affiliate Commerce เนื่องจากเป็นยุคที่ “Content” และ “Commerce” (การขาย) หลอมรวมกัน มีผลสำรวจที่ระบุด้วยว่า 83% ของผู้บริโภคชาวไทยเลือกซื้อสินค้าตามอินฟลูเอนเซอร์ ส่งผลให้จำนวนครีเอเตอร์เติบโตในทุกหมวดสินค้ารีเทล ทั้งปี 2024 ที่ผ่านมา หลายแพลตฟอร์มเริ่มขยายบริการไปยังส่วนอื่น ๆ นอกเหนือจากสิ่งที่ทำได้ดีอยู่แล้ว ครอบคลุมทั้ง Content, Affiliate & Commerce, Payment และ Delivery เช่น YouTube ที่เก่งเรื่องคอนเทนต์ ก็เริ่มทำโปรแกรม Affiliate “YouTube Shopping” หรือ Shopee และ Lazada ก็มีครบทั้งส่วนที่เป็นมาร์เก็ตเพลซสำหรับเลือกซื้อสินค้า ฟีเจอร์ไลฟ์ ระบบเพย์เมนต์ และบริการขนส่งของตนเอง
“การที่แพลตฟอร์มต่าง ๆ ขยายบริการให้ครอบคลุมทั้งอีโคซิสเต็ม เป็นสิ่งที่สะท้อนว่าอีคอมเมิร์ซปี 2025 จะขับเคลื่อนด้วย 3C คือ Creator, Content และ Commerce โดย Affiliate Commerce เป็นอีคอมเมิร์ซพันธุ์ใหม่ที่ขับเคลื่อนตลาดไทยให้เติบโตยิ่งขึ้น”
แข่งขันเสรีขั้นสุด
นอกจากนี้ ยังเป็นปีที่คนขายของออนไลน์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่รุนแรงมาก ๆ ได้อีกต่อไป เพราะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะผลักดันให้เกิดการแข่งขันผ่านการเพิ่มจำนวนผู้ขาย ซึ่งจะนำไปสู่การตัดราคาระหว่างกัน ทำให้สินค้าที่ขายบนแพลตฟอร์มถูกลงไปอีก
“แพลตฟอร์มรู้ดีว่าสิ่งที่จะทำให้คนยอมซื้อสินค้ากับตน คือส่วนลด และโปรโมชั่นต่าง ๆ สอดคล้องกับผลสำรวจที่ระบุว่า 3 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากที่สุด ได้แก่ 1.คูปอง ส่วนลด 2.ส่งฟรี และ 3.บริการเก็บเงินปลายทาง”
ปัจจุบันจำนวนผู้ขายบน Shopee, Lazada และ TikTok Shop ในประเทศไทย รวมกันน่าจะมีถึง 3 ล้านราย และมีสินค้ามากกว่า 300 ล้านรายการ มีทั้งผู้ขายรายย่อย ผู้ขายรายใหญ่ เจ้าของแบรนด์ ค้าปลีกรายใหญ่ โรงงานจีน และผู้ขายจากต่างประเทศ
“ปีนี้การขายสินค้าข้ามพรมแดนผ่าน Cross Border e-Commerce จะยังเป็นประเด็นใหญ่สำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะสินค้าจีน ที่ต้องจับตาต่อ เพราะนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์ มีเรื่องการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60-100% ทำให้จีนต้องหาทางระบายสินค้าไปยังประเทศอื่นมากขึ้น อีกทั้งร้านค้าจากจีนยังทำหน้าร้านบนแพลตฟอร์มเป็นภาษาไทยได้อย่างแนบเนียนจนแยกไม่ว่าร้านไหนจริงหรือปลอม”
e-Commerce Listening
“ธนวัฒน์” กล่าวต่อว่า เมื่อการค้าขายบนช่องทางอีคอมเมิร์ซมีการแข่งขันสูง การทำธุรกิจแบบ “รู้เขา รู้เรา” เข้าใจตลาด และจุดแข็งของตนเอง จึงยิ่งสำคัญขึ้น โดยเครื่องมือ “e-Commerce Listening” จะช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนการขาย และพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ได้ตรงกับความต้องการของตลาด
“สมมุติอยากรู้ว่าครีมกันแดดที่คนซื้อเยอะ ๆ บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ยี่ห้ออะไร e-Commerce Listening จะไปรวบรวมข้อมูล และสรุปออกมาเป็นแดชบอร์ด ดูได้ทั้งสัดส่วนแต่ละแบรนด์ และยอดการขาย”
แจ้งเกิดโมเดลฝากขาย
อย่างไรก็ตาม โมเดลของธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยมีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อย ๆ ย้อนไปเมื่อ 10 ปีก่อน มี Lazada กับ Zalora เข้ามาทำตลาดด้วยการชูจุดแข็งเกี่ยวกับสินค้า Branded & High Value ส่วน Shopee เน้นสินค้า Unbranded ขณะที่ในฝั่งรีเทลก็เริ่มมีการทำเว็บไซต์ของตนเอง เช่น Central และ HomePro
ต่อมาจึงมี Vertical Marketplace หรือแพลตฟอร์มที่ขายสินค้าเฉพาะหมวดหมู่ เช่น Konvy เน้นสินค้ากลุ่มบิวตี้ หรือ NocNoc เน้นสินค้า Home & Living กระทั่ง 2-3 ปีก่อน TikTok ก็เข้ามาทำตลาดกับทั้งกลุ่ม Branded และ Unbranded
จนในปี 2024 “Temu” เริ่มเข้ามาให้บริการในไทย และสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดโมเดล “ฝากขาย” หรือ Consignment Model ขายสินค้าจากโรงงาน โดยในประเทศไทยมาในโปรแกรม “Choice” ที่ร้านค้าสามารถนำสินค้าไปฝากไว้โกดังกลาง ดีลกับแพลตฟอร์มในราคาถูก ๆ แล้วแพลตฟอร์มจะช่วยจัดการเรื่องการขายต่อให้
“ปีที่ผ่านมาหลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับ Temu มาก แต่โดยส่วนตัวคิดว่า Temu ไม่ได้แผลงฤทธิ์ขนาดนั้น อาจเป็นเพราะเขายังไม่ได้เข้ามาจริงจัง และของที่ขายบนนั้นก็ไม่ได้ถูกที่สุด”
Owned Channel คือคำตอบ
อีกสิ่งที่น่าจะเห็นมากขึ้นในปีนี้ คือแบรนด์โฟกัสกับ “Owned Channel” หรือช่องทางการขายของตนเอง เนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา ค่าธรรมเนียมการขายบน Shopee, Lazada และ TikTok ถีบตัวต่อเนื่อง โดยในประเทศไทยเก็บเฉลี่ย 8-13% ทำให้จัดการต้นทุนการขายลำบากขึ้น รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลยังจำกัด เพราะแพลตฟอร์มต้องปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ส่งผลให้การทำความเข้าใจลูกค้ายากขึ้นตามไปด้วย
“ธนาวัฒน์” ทิ้งท้ายว่า ปีนี้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะแข่งขันกันเรื่อง “ความไว” ในการส่งสินค้า เห็นได้จากการโปรโมตโปรแกรมส่งเร็วพิเศษ หรือ Same Day Delivery มากขึ้น เพราะผู้บริโภคไม่สามารถรอสินค้าได้นาน
“แนวโน้มที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องวางแผนเรื่องการแพ็กของและ การขนส่งให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันได้”