
NIA ชี้สตาร์ตอัพไทยปี 2567 โตดี ระบบนิเวศแข็งแกร่ง-การระดมทุนรอบ Seed เพิ่มขึ้น 4% เผย “AI-กรีน-ฟินเทค” ขึ้นแท่นสตาร์ตอัพดาวรุ่งปี 2568 รับเทรนด์ AI-ESG บูม
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า ปี 2567 ประเทศไทยมีสตาร์ตอัพประมาณ 2,100 ราย แบ่งเป็นระยะ Preseed 700 ราย และระยะ Go-to Market หรือ Growth 1,400 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือว่าสตาร์ตอัพไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยมีอัตราการระดมทุนในรอบ Seed เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับปี 2566 และมีการเติบโตสะสมตั้งแต่ปี 2021 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ส่วนผลการจัดอันดับดัชนีระบบนิเวศสตาร์ตอัพโลกในปี 2566 โดย StartupBlink พบว่าประเทศไทยอยู่อันดับที่ 54 ของโลก และเป็นอันดับที่ 4 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสิงคโปร์อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
“การเติบโตของสตาร์ตอัพที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของระบบนิเวศสตาร์ตอัพไทย ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็น หนึ่งในศูนย์กลางที่น่าสนใจสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจนี้”
ดร.กริชผกา กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มธุรกิจสตาร์ตอัพที่มีโอกาสเติบโตสูงในปี 2568 ทั้งในไทยและต่างประเทศ จะสอดคล้องไปกับความท้าทายในสังคมยุค Al การพัฒนาทักษะใหม่ของแรงงาน และการมุ่งดำเนินธุรกิจตามแนวคิด ESG เพื่อให้เกิดความยั่งยืนครอบคลุมทุกมิติ
โดย 3 กลุ่มธุรกิจสตาร์ตอัพที่มีโอกาสเติบโตมากในปีนี้ ได้แก่
1.เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
AI กำลังปฏิวัติวงการธุรกิจอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สร้างสรรค์ (Generative AI) เนื่องจากสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ การเข้ามาของระบบเอเจนต์ AI (AI Agentic Systems) ที่สามารถคิดวิเคราะห์ และตัดสินใจได้เอง ยังสามารถจัดการงานที่จับซ้อน แก้ไขปัญหาที่ต้องใช้ข้อมูลหลายมิติ โดยผลสำรวจพบว่ากลุ่มผู้บริหารองค์กรและนักลงทุนมากกว่าร้อยละ 70 เชื่อมั่นว่า Al Agents จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญในองค์กรทั้งเชิงการคิด การผลิต การแก้ปัญหางานบริการ เร็วต่อทุกความต้องการของตลาด และช่วยลดการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีนัยสำคัญ
2.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (GreenTech)
ปัญหาสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงมากขึ้น หลายองค์กรให้ความสำคัญกับแนวคิด ESG มากขึ้น รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคยังสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม ทำให้ตลาดเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด
โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละเกือบร้อยละ 25 ตลอดระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า ด้วยโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ปัญหาสิ่งแวดล้อมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพลังงานสะอาด การจัดการขยะ หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสตาร์ทอัพที่จะประสบความสำเร็จได้ควรสร้างโมเดลธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่ไปด้วย
3.เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech)
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นผู้นำในการดึงดูดการลงทุนเกี่ยวกับ FinTech เห็นได้จากอัตราการระดมทุนในรอบ Seed ที่สูงถึงร้อยละ 26 ซึ่งสูงที่สุดในปี 2567 และเทคโนโลยีบล็อกเชนตามมาที่ร้อยละ 20 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความน่าสนใจของเทคโนโลยีเหล่านี้
“สิ่งหนึ่งที่สำคัญในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คือสตาร์ตอัพต้องมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ การสร้างระบบที่ปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว เปรียบเสมือนการสร้างฐานรากที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ช่วยให้สามารถเติบโตและขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง”