
กสทช. ไฟเขียว งบให้ NT 261 ล้านบาท ทำระบบแจ้งเตือนผ่านมือถือ หลังให้ ทรู-เอไอเอสไปก่อนหน้ากว่า 300 ล้านบาท ลุ้นพร้อมใช้ระบบทันเดือนสิงหาคม 2568 นี้
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่าที่ประชุม คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีมติอนุมัติงบประมาณจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) หรือ กองทุนยูโซ่ โดยใช้วิธีการลดหย่อนการจ่ายสบทบ จำนวน 261 ล้านบาท ให้กับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที เพื่อทำโครงการระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือ Cell Broadcast ในการใช้แจ้งเตือนภัยกับลูกค้ามือถือของเอ็นที
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ NT ได้ของบมามากกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งบอร์ด กสทช. มองว่ามากเกินไป เนื่องจากลูกค้า NT มีเพียง 2ล้านราย ขณะที่ “ทรู – เอไอเอส” ได้งบไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ กสทช. วางกรอบวงเงิน 3 ปี ที่ 1พันล้านบาท AIS ได้งบจำนวน 377 ล้านบาท และ TRUE จำนวน 375 ล้านบาท เพื่อพัฒนา Cell Broadcast บริการเตือนภัยฉุกเฉิน ผ่านมือถือ ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านโทรศัพท์มือถือ (Cell Broadcast) เป็นนโยบายเร่งด่วนของ สำนักงาน กสทช. ในการสร้างระบบแจ้งเตือนภัยที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
ตามแผนการณ์ที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคาดการณ์ว่าระบบทั้งสองส่วน คือ ส่วนกระจายข้อมูลถึงมือถือ ของทั้งสามค่าย ทรู เอไอเอส และเอ็นที
อีกส่วนคือระบบสั่งการส่วนกลาง ซึ่งรับผิดชอบโดย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ซึ่งคาดว่าจะจัดซื้อจัดจ้างได้ผู้รับเหมาเพื่อพัฒนาระบบดังกล่าวทันช่วงเดือน ส.ค. 2568 นี้
ด้าน พ.อ.สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ NT กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เอ็นที ได้ของบจากกองทุนยูโซ่ จำนวน 373 ล้านบาท จึงได้ปรับวงเงินลง โดยพิจารณาจากฐานลูกค้าในคลื่นที่จะหมดอายุในวันที่ 3 ส.ค.68
“งบประมาณที่ได้จะใช้ทำระบบกับเสาสัญญาณจำนวน 50,000 สถานีฐานเพื่อใช้ในคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิรตซ์ที่มีจำนวนผู้ใช้บริการ 2 ล้านเลขหมาย เฉลี่ยการลงทุน 200 บาทต่อสถานีฐาน ส่วนพัฒนาด้านซอฟต์แวร์ เช่น CBC Platform Software และ Cell capcity License จะใช้งบประมาณจำนวน 167 ล้านบาท”
Cell Broadcast เป็นนโยบายเร่งด่วนของ สำนักงาน กสทช. ในการสร้างระบบแจ้งเตือนภัยที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้คนได้รับข้อมูลข่าวสารที่สำคัญและจำเป็นในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิ ฯลฯ ด้วยการเชื่อมกับระบบการสั่งการของรัฐบาล เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน จากภัยพิบัติต่าง ๆ