
การปรากฏตัวของ DeepSeek ทำให้นึกถึงปรากฏการณ์ Sputnik ในช่วงสงครามเย็นที่จุดชนวน Tech War ในศตวรรษที่ 20 ยาวนานกว่า 20 ปี หรือ DeepSeek จะเป็นจุดเริ่ม Tech War ครั้งใหม่ ในศตวรรษที่ 21 ?
ปรากฏการณ์ DeepSeek เวอร์ชั่น 3 ปัญญาประดิษฐ์โมเดลล่าสุดจากประเทศจีน ที่ถล่มวงการเทคทั่วโลกในข้ามคืน เรียกได้ว่าตลาดหุ้นสูญเสียมูลค่าไปกว่า 30 ล้านล้านบาท ในไม่กี่ชั่วโมง เป็นจุดที่ทำให้มีการพูดถึงเหตุการณ์ Sputnik Moment ในปี ค.ศ. 1957 ในช่วงสงครามเย็นที่สหรัฐ และสหภาพโซเวียตกำลังแข่งขันพัฒนาเทคโนโลยีในทุกด้าน
Sputnik Moment
ในทศวรรษที่ 1950 สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตกำลังแข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีด้านการสงครามและเผยแพร่อุดมการณ์ทางการเมือง และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อฟื้นฟูระเบียบโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ดังนั้นโลกเข้าสู่ภาวะสงครามเย็นที่สองมหาอำนาจปะทะกันในด้านอุดมการณ์ เศรษฐกิจและเทคโนโลยี
เทคโนโลยีจากช่วงสงครามโลกจำนวนมากมีการพัฒนาต่อยอดให้ทันสมัย โดยเฉพาะเทคโนโลยีจรวดที่ได้จากวิศกรนาซีเยอรมันผู้พ่ายสงคราม ไม่ใช่แค่ถูกนำไปพัฒนาจรวดหัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีป (ICBM) แต่นำมาสู่ความทะเยอทะยานในการทำสงครามอวกาศ และการสำรวจพรมแดนใหม่ ๆ บนฟากฟ้า
มหาอำนาจทั้งสองได้ตั้งโครงการอวกาศขึ้น โดยสหรัฐตั้งหน่วยงานที่ปรึกษาการบินแห่งชาติ (NACA) ในขณะที่โซเวียตตั้งโปรเจ็กต์ลับที่ชื่อว่า Project D ในปี 1954 ภายใต้ข้อเสนอของ Sergei Korolev หัวหน้านักวิทยาศาสตร์จรวด ซึ่งมีแผนการพัฒนาดาวเทียมให้กระทรวงอุตสาหกรรมกลาโหมโซเวียต
จนกระทั่งปี 1957 โซเวียตสามาถส่งดาวเทียม Sputnik ขึ้นสู่วงโคจรโลก เป็นวัตถุฝีมือมนุษย์สร้างชิ้นแรกที่ถูกส่งขึ้นอวกาศ

Sputnik สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลก ด้วยสามารถส่งเสียง “ปี๊บ” ถึงเครื่องรับวิทยุทั่วไปในโลก สัญญาณบนความถี่ 20.005 และ 40.002 MHz ซึ่งได้รับการตรวจสอบโดยผู้ให้บริการวิทยุทั่วโลก สัญญาณดําเนินต่อไปเป็นเวลา 22 วัน
การเปิดตัว Sputnik 1 สร้างความประหลาดใจให้กับสาธารณชนชาวอเมริกัน และทําลายการรับรู้ที่เกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อของอเมริกาเกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาในฐานะมหาอํานาจทางเทคโนโลยี และสหภาพโซเวียตในฐานะประเทศที่ล้าหลัง นั่นจึงเป็นที่มาของการเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “Sputnik Moment”
“ดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์” ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น ทราบถึงข้อมูลการพัฒนานี้จากการสอดแนมอยู่แล้ว และมีการซุ่มพัฒนาดาวเทียม Explorer 1 เพื่อแข่งขัน แต่กลับไม่ทันจะพร้อมส่ง โซเวียตยิงขึ้นฟ้าก่อน
“ดี ไอเซนฮาวร์” ย่อมไม่อาจอยู่เฉย ผ่านงบประมาณทันที 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปลี่ยนสภาพคณะที่ปรึกษา NACA เป็นองค์การการบินและอวกาศแห่งชาติ NASA และสามารถส่งดาวเทียม Explorer 1 ในปี 1958
นั่นนับเป็นจุดเริ่มต้นของ Tech War ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นการแข่งขันด้านเทคโนโลยีอวกาศ (Space Race) ระหว่างสองมหาอำนาจของโลก ที่ยาวนานเกือบ 30 ปี จนโซเวียตล่มสลาย เมื่อเข้าสู่ทศวรรษสุดท้ายของ ศตวรรษที่ 20
ผลพวงจากปรากฏนี้ ไม่ใช่แข่งการพยายามส่งดาวเทียม แต่เป็นการอนุมัติงบประมาณ และปลดล็อกทุนการศึกษาและวิจัยมหาศาลผ่านกฎหมายปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่
ปฏิรูปวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ระดับมัธยม
ดี ไอเซนฮาวร์ ผ่านกฎหมายที่ส่งผลถึงระบบการศึกษาสหรัฐในปัจจุบัน คือ National Defense Education Act (NDEA)-พ.ร.บ.การศึกษาเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ (1958)
กฎหมายนี้เป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดของไอเซนฮาวร์ในการปฏิรูปการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการศึกษาด้าน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ ซึ่งเป็นสาขาสำคัญในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและความมั่นคงแห่งชาติ สาระสำคัญ ได้แก่
- ทุนสนับสนุนการศึกษา : จัดสรรงบประมาณให้กับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เพื่อปรับปรุงหลักสูตรและเพิ่มทุนการศึกษา
- ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ : มีการพัฒนาหลักสูตรและฝึกอบรมครูให้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น
- การเรียนภาษาต่างประเทศ : ส่งเสริมการเรียนรู้ภาษา เช่น รัสเซีย จีน และภาษาอื่น ๆ ที่สำคัญต่อยุทธศาสตร์สงครามเย็น
- เงินกู้เพื่อการศึกษา : มอบเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนศึกษาต่อในสาขาที่เกี่ยวข้อง
รายงานหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น รายงานของ U.S. Office of Education ข้อมูลจาก Congressional Budget Office (CBO) และ Federal Budget Archives รวมถึงในหนังสือเรื่อง “The Cold War and American Education” โดย Willis Rudy ประมาณการว่า รัฐบาลสหรัฐใช้งบฯมากกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ ภายใต้ NDEA และเพิ่มงบฯด้านการศึกษาโดยรวมของรัฐบาลกลางจาก 1.5 พันล้าน เป็น 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในระยะเวลา 5 ปี
Tech War ในศตวรรษที่ 21 เริ่มแล้ว ?
เช่นเดียวกับสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจาก DeepSeek เขย่าขวัญบิ๊กเทคทั่วโลก สงครามเทคโนโลยีเอไอในศตวรรษที่ 21 ดูท่าจะปะทุอีกครั้ง
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะเอาชนะ AI จีน ด้วยโครงการ Stargate งบฯลงทุน 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ นำโดยบิ๊กเทคเอกชน 4 ราย ภายใต้การสนับสนุนของทำเนียบขาว
โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกมันว่า “โครงการโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” และเขาระบุว่าเขาจะใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อเร่งการพัฒนาโครงการโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและเอไอ
จากความร่วมมือของเอกชนใหญ่ ได้แก่ OpenAI, Oracle, SoftBank และ MGX โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในสหรัฐ และรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก
แผนการลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะเวลา 4 ปี เพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์อย่างน้อย 10 แห่งในรัฐเทกซัส โดย Oracle จะเป็นผู้ดำเนินการศูนย์ข้อมูล และ OpenAI จะเป็นผู้ใช้งานหลัก โดยมี Microsoft, Arm Holdings และ NVIDIA ร่วมเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยี
และในเฟสแรกนี้ จะลงทุนรวดเดียว 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
คาดว่าโครงการนี้จะช่วยสร้างงานกว่า 100,000 ตำแหน่ง และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้สหรัฐ ในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีกับประเทศจีน OpenAI เชื่อว่า Stargate จะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนา AGI หรือระบบ AI ที่มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์
คาดการณ์ว่าจะมีการสนับสนุนระบบการศึกษา ด้านวิทยาการข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ตามมา
การปรับปรุงการศึกษาในระดับมัธยมของไอเซนฮาวร์ ใช้เวลานับทศวรรษกว่าจะสามารถเอาชนะสหภาพโซเวียตในสงครามอวกาศ และในสงคราม AI นี้จะใช้เวลากี่ปี