Apple หืดจับตลาดจีน รายได้ในจีนหาย 2,300 ล้านดอลลาร์

Apple-จีน
REUTERS/Florence Lo

Apple โชว์ผลงานไตรมาสแรก ปีงบประมาณ 2568 (สิ้นสุด ณ วันที่ 28 ธ.ค. 2567) รายได้ 124,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.9% แต่รายได้ในจีน-ฮ่องกง-ไต้หวัน กลับลดลง 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังสู้พิษเศรษฐกิจ-แข่งขันแบรนด์เจ้าถิ่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แอปเปิล อิงก์ (Apple) รายงานผลประกอบการไตรมาสแรก ปีงบประมาณ 2568 (สิ้นสุด ณ วันที่ 28 ธ.ค. 2567) โดยบริษัทมีรายได้ 124,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 119,575 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.9%) และมีกำไรสุทธิ 36,330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 33,916 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (7.1%)

รายละเอียดผลการดำเนินงานแยกตามรายผลิตภัณฑ์หรือบริการเป็นดังนี้

  • iPhone 69,138 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 69,702 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (0.8%)
  • Mac 8,987 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 7,780 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (15.5%)
  • iPad 8,088 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 7,023 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (15.2%)
  • อุปกรณ์สวมใส่และอื่น ๆ เช่น Apple Watch และ AirPods 11,747 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 11,953 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.7%)
  • กลุ่มบริการ เช่น Apple TV+ 26,340 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 23,117 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (13.9%)

และเมื่อจำแนกผลประกอบการแยกตามรายประเทศหรือภูมิภาคเป็นดังนี้

  • อเมริกา 52,648 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 50,430 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.39%)
  • ยุโรป 33,861 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 30,397 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (11.4%)
  • จีน ฮ่องกง และไต้หวัน (Greater China) 18,513 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 20,819 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (11.1%)
  • ญี่ปุ่น 8,987 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 7,767 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (15.7%)
  • เอเชีย-แปซิฟิก 10,291 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 10,162 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.26%)

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจจากผลประกอบการของ Apple ในไตรมาสล่าสุด คือรายได้ในจีน ฮ่องกง และไต้หวัน ที่ลดลงกว่า 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคต่างระมัดระวังกับการใช้จ่ายท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และมีแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดในประเทศจีน รวมถึงยังต้องสู้กับแบรนด์เจ้าถิ่น เช่น หัวเว่ย (Huawei) ที่พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาแข่งขันในตลาดอย่างต่อเนื่อง