จับตา “เทควอร์” สหรัฐกับจีน-แนะไทยต่อยอด AI

tech war

“ดร.สันติธาร เสถียรไทย” ร่วมวิเคราะห์ศึก “เทควอร์” ระหว่างสหรัฐ-จีน ผ่านตัวแทนระบบ AI ของ “ChatGPT” และ “DeepSeek” ชี้ไทยต้องจับตาใกล้ชิด เพราะมีทั้งความเสี่ยงและโอกาส เชื่อผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการใช้ AI ราคาถูกจากจีน แนะต้องต่อยอดมาพัฒนาแอปท่องเที่ยว-เกษตร และด้านอื่น ๆ รวมถึงส่งเสริมสตาร์ตอัพพัฒนาการใช้งาน AI สัญชาติไทย ด้านบิ๊ก NT เตือนต้องระวังและบาลานซ์ดาต้าเซ็นเตอร์ของไทย ในการให้บริการทั้งฝั่งสหรัฐและจีน

จากการเปิดตัว DeepSeek ผู้พัฒนาโมเดล AI ต้นทุนต่ำจากประเทศจีน โดยอ้างว่าใช้เซมิคอนดักเตอร์ ระบบประมวลผล และต้นทุนถูกกว่า ChatGPT และ Gemini ของฝั่งสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ผู้ใช้งานทั่วโลกหันมาสนใจ โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและเล็ก เพราะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ระดับสูงง่ายขึ้น ส่งผลให้บริษัทด้านชิปอย่าง Nvidia และอีกหลายบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีได้รับผลกระทบ ทำให้ราคาหุ้นร่วงลงอย่างหนัก

ขณะเดียวกันทางการสหรัฐ รวมถึงบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ กล่าวหาว่า DeepSeek อาจใช้ API (Application Programming Interface) ของ OpenAI ดึงข้อมูลจำนวนมากโดยไม่ได้รับอนุญาต และต้นทุนการผลิต รวมถึงชิปประมวลผลอาจไม่ได้ใช้น้อยกว่าที่กล่าวอ้างนั้น

จับตา “เทควอร์” สหรัฐ-จีน

ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากกรณี DeepSeek ที่เกิดขึ้น ทำให้มองว่าสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี (เทควอร์) ระหว่างสหรัฐกับจีน น่าจะรุนแรง เข้มข้น และมีหลากมิติมากขึ้น เนื่องจากสหรัฐมองแล้วว่าขนาดมีการจำกัดการเข้าถึงชิปต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถพัฒนาไปขนาดนี้ได้ ซึ่งสหรัฐอาจจะมองว่าต้องจำกัดเรื่องชิปนี้ให้มากขึ้นอีก

“สงครามชิปพวกนี้อาจรุนแรงขึ้น การจะห้ามไม่ให้ส่งออกชิปคงเข้มขึ้น และอาจไม่ใช่จำกัดแค่ส่งไปจีน แต่รวมถึงส่งไปประเทศอื่น ๆ ด้วย เพราะเขาคงไม่แน่ใจว่าแม้ส่งไปประเทศอื่น แต่สุดท้ายจะไหลไปที่จีนหรือเปล่า นอกจากนี้ต้องจับตาว่าสหรัฐจะแบน AI ตัวนี้ไหม

แต่ผมเชื่อว่าโดยหลักแล้วก็คงรุนแรงขึ้น และขยายกว้างขึ้น เพราะสหรัฐก็คงตกใจว่ามาถึงตรงนี้ได้อย่างไร แต่ช่วงนี้ก็คงสู้กันเรื่องข่าวสารด้วย ว่าจริง ๆ แล้วจริงหรือเปล่าที่ DeepSeek ตามทัน หรือจริง ๆ แล้วมีชิปมากกว่าที่คิด ก็เริ่มเถียงกัน”ตกลง

ADVERTISMENT

DeepSeek ช่วยกระตุ้นสหรัฐ

อย่างไรก็ดี กรณี DeepSeek ไม่สามารถสรุปได้ว่า จีนชนะ แต่ 1.เป็นการตั้งคำถามว่าสหรัฐชนะแล้วจริงหรือ จากที่ก่อนหน้านี้มีความเชื่อกันว่าสหรัฐชนะเรื่องนี้ 2.เกิดอีกคำถามว่า คนอื่นตามสหรัฐไม่ทันจริงหรือไม่ เพราะจริง ๆ แล้วอาจจะตามทันได้ไม่ยากนัก

และ 3.ต้นทุนที่ต้องลงทุนเพื่อให้เป็นผู้นำ AI ที่ว่าต้องใช้มหาศาล จริง ๆ แล้วต้องใช้มากขนาดนั้นจริงหรือไม่ กรณีนี้เหมือนเป็นการปลุกให้สหรัฐตื่น เหมือนอย่างที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ พูดว่าเหมือนนาฬิกาปลุกให้สหรัฐตื่นว่าประมาทไม่ได้

ADVERTISMENT

ชี้ไทยมีโอกาสได้ประโยชน์

ดร.สันติธารกล่าวอีกว่า เทควอร์ที่เกิดขึ้นนี้ มีทั้งความเสี่ยงและโอกาสของไทย โดยหากเทควอร์เข้มข้นขึ้น ต้องระวังว่าจะมีหางเลขกระทบมาถึงไทยหรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้วหากเกิดการดิสรัปชั่นในซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ แม้ว่าไทยจะไม่ได้ผลิตชิปโดยตรง ก็อาจมีผลกระทบทางอ้อมได้ ขณะเดียวกันก็ต้องดูว่าความเข้มข้นขึ้นของเทควอร์ หากไม่ได้ห้ามแค่ห้ามส่งชิปให้จีน แต่ห้ามประเทศอื่น ๆ ด้วย ก็ต้องดูว่ากระทบมาถึงไทยหรือเปล่า

“ผลกระทบด้านแรกที่ต้องดู คือ ด้านการค้าขาย ขณะที่ด้านที่สอง คือ การแข่งขัน AI ที่จะเข้มข้นขึ้นหลังจากนี้ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในด้านลบ คือ ความเสี่ยงของ AI จะสูงขึ้นหรือเปล่า ต้องดูว่าจะมีปลดล็อกพวกมาตรการด้านความปลอดภัยในการพัฒนา AI หรือเปล่า ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีเทรนด์แล้ว ดังนั้นก็ต้องจับตาดูว่า จะมี AI ที่อันตราย ถูกนำออกมาใช้หรือไม่ หรือคนนำไปใช้ในทางที่ผิดไหม ตรงนี้ก็อาจจะเป็นภัยที่มากระทบเราได้”

ผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุด

อย่างไรก็ดี ในมุมบวกเนื่องจากที่ผ่านมา AI แข่งขันโดยเน้นเรื่องความฉลาดอย่างเดียว ซึ่งเมื่อการแข่งขันมีมากขึ้น และตอนนี้กรณี DeepSeek ได้เติมมิติการแข่งขันใหม่ขึ้นมา ว่าอาจจะไม่ใช่แค่การลงทุน กระเป๋าเงินใครใหญ่กว่าแล้วจะชนะ เพราะอาจจะมี AI ที่จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องลงทุนมากขนาดนั้นก็ได้

“อาจจะมีมิติที่ดี ในแง่ที่ว่า จีนทำ AI ในเวอร์ชั่นที่ถูกกว่าออกมา คุณภาพอาจจะสู้ไม่ได้ แต่ในบางงานใช้แค่นี้ก็พอแล้ว ฉะนั้นผู้บริโภคหรือผู้ใช้จะได้ประโยชน์ในแง่ Option ที่มากขึ้น หลากหลายขึ้น แถมโปรดักต์บางตัวอาจใช้พลังงานน้อยลงด้วยก็ได้ ทำลายธรรมชาติน้อยลง เป็นเรื่องที่ดีกับผู้บริโภค หรือผู้ใช้งาน ผมคิดว่าอันนี้เป็นอนาคตของ AI จริง ๆ คือไม่ได้อยู่ที่ว่าใครพัฒนาสมอง แต่ต้องดูว่าใครจะนำมาพัฒนาแอปที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน”

พัฒนาแอปท่องเที่ยว-เกษตร

ดร.สันติธารกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ประโยชน์สำหรับประเทศไทย อาจไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ใช้งาน (User) แต่อาจเป็นผู้สร้าง หรือพัฒนาแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ก็ได้ ทั้งด้านท่องเที่ยว ด้านสาธารณสุข ด้านเกษตร หรืออื่น ๆ เพราะไทยมีข้อมูลเหล่านี้ค่อนข้างมาก อาจจะนำไปสู่การเกิดขึ้นของสตาร์ตอัพ AI ด้านต่าง ๆ ที่เป็นสัญชาติไทย และออกไปสู่ระดับโลกก็เป็นได้

เราเป็นผู้ใช้ก็ใช่ แต่อาจไม่ต้องเป็นผู้ใช้แบบปลายน้ำ แต่เป็นพวกที่อยู่กลาง ๆ ที่นำโมเดลพวกนี้มาสร้างต่อ พัฒนาต่อเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์สังคมเราได้

แนะส่งเสริมคนไทยใช้ AI

กรรมการ กนง.กล่าวอีกว่า คลื่น AI ที่มาแรง ทำให้การเข้าถึง AI Economy เร็วขึ้น ซึ่งไทยต้องเตรียมรับมือเรื่องนี้ให้เร็ว โดยส่วนหนึ่งต้องส่งเสริมสตาร์ตอัพที่พัฒนาการใช้งาน AI สัญชาติไทยขึ้นมา ต้องดึงคนเก่ง ๆ ไม่ว่าจะคนที่เป็นวิศวกร AI หรือผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี AI ให้อยู่ในประเทศไทย โดยสนับสนุนงบประมาณ สร้างอีโคซิสเต็มให้เกิดขึ้น

“ในด้าน User เราสามารถนำ AI มาใช้ เพื่อช่วยประหยัดเวลา อาจจะช่วยด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข การเพิ่มผลิตภาพ จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ถือว่าตอบโจทย์ประเทศไทย เพราะเราขาดคน ขาดแรงงาน สังคมสูงวัย การใช้เทคโนโลยีจะมาช่วยได้มาก ซึ่งเราต้องสร้างการเรียนรู้ด้าน AI ให้คนใช้งานได้ และสร้าง AI Talent สร้างสตาร์ตอัพให้เกิดขึ้นในประเทศ และทั้งหมดนี้ต้องเร่งทำเร็วขึ้น เพราะอาจจะมาเร็วขึ้นแล้ว”

NT มองโครงสร้างพื้นฐานไทย

ด้าน พ.อ.สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การแข่งขัน AI ระหว่างสองมหาอำนาจนั้น ประเทศไทยเป็นเพียงผู้ใช้งาน ซึ่งต้องใช้อย่างระมัดระวัง

เมื่อถามว่าตามนโยบายที่รัฐบาลต้องการให้บิ๊กเทคมาลงทุนตั้งศูนย์ข้อมูลคลาวด์ AI ในประเทศนั้น มีความสำคัญต่อการแข่งขันด้าน AI หรือไม่ พ.อ.สรรพชัยย์กล่าวว่า แน่นอนว่าศูนย์ข้อมูล หรือดาต้าเซ็นเตอร์นั้น เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อ AI แต่ต้องบาลานซ์ให้ดีระหว่างสองมหาอำนาจ

ต้องบาลานซ์ดาต้าเซ็นเตอร์

การที่บิ๊กเทคต้องการย้ายหรือขยายดาต้าเซ็นเตอร์ออกจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ เกิดจากข้อจำกัดด้านทรัพยากรของสิงคโปร์ คือเรื่องไฟฟ้า ขณะที่การเชื่อมต่อข้อมูลด้วยโครงข่ายสายเคเบิลใต้สมุทรมีความแข็งแกร่งมาก เมื่อมองในแง่ประโยชน์จากความหน่วงต่ำของข้อมูล ประเทศมาเลเซียจะเหมาะกว่า เพราะมีโครงข่ายใต้น้ำที่ใกล้กับสิงคโปร์ และทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้น รวมถึงภาครัฐของมาเลเซียก็สนับสนุนสิทธิพิเศษให้ตั้งดาต้าเซ็นเตอร์เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังนับว่ามีความพร้อมเรื่องพลังงาน แต่ราคาอาจยังสูงกว่า ดังนั้น บิ๊กเทคสหรัฐจะได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของมาเลเซียและสิงคโปร์เป็นอย่างมาก รวมถึงด้านการเชื่อมต่อข้อมูลที่ได้ความหน่วงต่ำ เพราะถ้าต้องลากสายเคเบิลเข้าไทยจะไกลจากศูนย์ข้อมูลเดิมมาก ทั้งพลังงานยังถูกกว่าด้วย

ส่วนสภาพโครงข่ายของไทยจะได้ประโยชน์จากดาต้าเซ็นเตอร์จีน ด้วยการเชื่อมต่อแบบภาคพื้นดินที่ใกล้กับจีนและภูมิภาคอาเซียนบนแผ่นดินมากกว่า ดังนั้นก็ต้องบาลานซ์ให้ดี

ไทยต้องต่อยอดการใช้ AI

ส่วน ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) แสดงความเห็นว่า ตอนนี้เรื่องของการพัฒนา AI ไม่มีใครสู้สหรัฐกับจีนได้แล้ว ฝั่งยุโรปก็รู้ว่าโมเดล AI ของตนสู้ 2 ค่ายนี้ไม่ได้ หรืออย่างในอาเซียนก็เคยพยายามจะพัฒนา AI ใช้ร่วมกัน แต่เป็นไปได้ยาก เพราะติดข้อจำกัดหลายอย่าง

“การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐมีข้อดีอย่างหนึ่ง คือการเปิด Open Source ให้คนมาเอาไปพัฒนาต่อยอด เป็นการหาพรรคพวกให้คนเข้าไปใช้โมเดลของตนเอง ซึ่งไทยสามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้ หรือถ้ามีอะไรใหม่ ๆ เข้ามา ก็ต้องเป็นผู้ใช้ที่ชาญฉลาด สามารถสร้างนวัตกรรมอื่น ๆ ต่อได้ ไม่ใช่แค่ใช้ไปเฉย ๆ”