
สมเกียรติ ประธานทีดีอาร์ไอ ร่ายผลกระทบคดี “พิรงรอง” ส่อเปิดช่องกลุ่มทุนฟ้องปิดปากผู้มีอำนาจ ส่งผลกระทบต่อผู้ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ หน่วยงานรัฐ และหลักนิติรัฐ มองจะส่งผลกระทบระยะยาว ทำให้ผู้เกี่ยวข้องตกเป็นเหยื่อเกมกฎหมาย เชื่ออาจเป็นจุดเปลี่ยนของระบบยุติธรรมไทย
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อคำตัดสินของศาลในคดีที่ทรู ไอดี ฟ้องนางสาวพิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยเขาแสดงความกังวลว่า คดีนี้อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อระบบยุติธรรมไทย การทำงานของหน่วยงานรัฐ และบทบาทของผู้ที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ความแปลกใจและความเศร้าใจ
ทั้งนี้ ตนมีความตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลตั้งแต่ได้รับทราบคำพิพากษาฉบับเต็ม แต่เนื่องจากติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ จึงไม่ได้แสดงความเห็นจนถึงปัจจุบัน ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและวิทยุ-โทรทัศน์มานาน และยังเป็นพยานของจำเลยในคดีนี้ ดังนั้น จึงรู้สึกทั้งแปลกใจและเศร้าใจกับคำตัดสินที่เกิดขึ้น
เขาตั้งข้อสังเกตว่า จำเลยถูกลงโทษทั้งที่การดำเนินการของนางสาวพิรงรองเป็นไปในนามสำนักงาน กสทช. และเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งก็คือกฎ Must Carry ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ต้องเผยแพร่รายการผ่านผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช.เท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดคือ ศาลเชื่อว่าจำเลยปลอมแปลงเอกสาร ทั้งที่เอกสารดังกล่าวได้รับการรับรองจากคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง
ผลกระทบต่อสังคมไทยผลพวงจากคดี
แม้ว่าการพิจารณาของศาลในขั้นอุทธรณ์หรือฎีกาอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นคุณต่อจำเลย เช่น อาจมีการยกฟ้องหรือให้รอลงอาญา แต่ผลกระทบต่อสังคมไทยจากคดีนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นเรื่องที่ยากจะย้อนกลับ นายสมเกียรติระบุว่า มีผลกระทบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการที่ต้องพิจารณา :
1.ผลกระทบต่อผู้ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ
คดีนี้อาจเป็นแบบอย่างที่ทำให้กลุ่มทุนมองว่า สามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการฟ้องร้องบุคคลที่เห็นต่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟ้องร้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปาก (SLAPP) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศไทย หลายกรณีได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ *“เมื่อกฎหมายถูกใช้เป็นอาวุธ”* ของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน แสดงให้เห็นว่ากฎหมายสามารถถูกใช้เพื่อจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและขัดขวางการทำงานเพื่อสังคม
2.ผลกระทบต่อการทำงานของหน่วยงานรัฐ
คดีนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำงานในหน่วยงานรัฐอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยง หากการตัดสินใจของพวกเขาขัดแย้งกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน อาจมีการฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องปรับเปลี่ยนท่าที หรือแม้แต่ละเลยการพิจารณาประเด็นที่อ่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
3.ผลกระทบต่อหลักนิติรัฐและความเชื่อมั่น
นายสมเกียรติแสดงความกังวลว่า คดีนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการพิจารณาคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ศาลตัดสินลงโทษจำเลยโดยไม่ให้เหตุผลอย่างชัดเจนว่าเหตุใดจึงไม่เชื่อคำให้การของจำเลย ทั้งที่เป็นคดีอาญา ซึ่งโดยหลักแล้วศาลจะต้องพิจารณาโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (Beyond a Reasonable Doubt)
การพิจารณาคดีเสี่ยงต่อระบบยุติธรรม
นายสมเกียรติชี้ให้เห็นว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางใช้วิธีไต่สวน ซึ่งแตกต่างจากการพิจารณาคดีอาญาทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา (Adversarial System) ที่โจทก์และจำเลยสามารถหักล้างกันได้อย่างเท่าเทียม วิธีไต่สวนนี้เปิดโอกาสให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดแนวทางของคดีมากขึ้น แต่หากไม่มีการให้เหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอ ก็อาจก่อให้เกิดข้อกังขาต่อการใช้ดุลพินิจของศาล สมเกียรติยังตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักสูตรอบรมของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมในการอบรมและพบปะกับผู้พิพากษา ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่โปร่งใสและนำไปสู่ข้อกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
ดังนั้น ข้อเสนอแนะต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักกฎหมาย นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน นายสมเกียรติเรียกร้องให้ผู้บริหารของศาลยุติธรรมศึกษาคดีนี้อย่างละเอียด เพื่อพิจารณาว่ามีจุดผิดปกติหรือไม่ และทำไมคดีนี้จึงได้รับเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง จึงขอเสนอให้มีการจัดสัมมนาภายในศาลยุติธรรม เพื่อกำชับให้ผู้พิพากษาให้เหตุผลในการตัดสินคดีอย่างชัดเจน รอบด้าน และเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาทบทวนหลักสูตรอบรมที่อาจทำให้เกิดข้อกังขาต่อความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรม
“คดีของนางสาวพิรงรอง รามสูต อาจกลายเป็นคดีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าระบบยุติธรรมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ ไม่เพียงแต่เรื่องความเป็นอิสระของศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณะและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม”
นายสมเกียรติย้ำว่า ระบบยุติธรรมไม่เพียงแต่ต้องทำให้เกิดความยุติธรรมเท่านั้น แต่ต้องทำให้สังคมเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นจริง (Justice must not only be done, but must also be seen to be done) และคดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลในระยะยาว