ผลพวง “ภาษีทรัมป์” ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นดิจิทัลกลุ่มฮาร์ดแวร์ ?

ดีป้า เผย ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิจิทัล ไตรมาส 1/2568 ในภาพรวม ฟื้นสู่ระดับ ‘เชื่อมั่น’ ในภาคฮาร์ดแวร์ น่าเป็นห่วง จากนโยบายภาษีทรัมป์ ชี้ 9 ใน 10 สินค้าไทยส่งออกสหรัฐ อยู่ในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ดิจิทัล 

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท และ Easy E-Receipt 2.0 ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลง การย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติ และการแข่งขันด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระดับโลก ล้วนส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิจิทัลไตรมาสแรกปีนี้กลับสู่ระดับ ‘เชื่อมั่น’ อีกครั้ง หลังตกลงไปสู่ระดับไม่เชื่อมั่นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดิจิทัลยังมีความกังวลต่อการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าต่างประเทศ และการที่ผู้ประกอบการ ไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับเทคโนโลยีเกิดใหม่ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อระดับความเชื่อมั่น

ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital Industry Sentiment Index) ไตรมาส 1 ประจำปี 2568 และไตรมาส 4 ประจำปี 2567 ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อย ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ (Hardware and Smart Device) กลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ (Software) กลุ่มอุตสาหกรรมบริการด้านดิจิทัล (Digital Service) กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content) และกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (Telecommunication)

โดยดัชนีความเชื่อมั่น ภาพรวม ไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ระดับ 50.1 ปรับตัวดีขึ้นจาก 48.8 ของไตรมาสก่อนหน้า (ไตรมาส 4/2567) โดยเป็นผลมาจากปัจจัย (สูงกว่า 50 ถือว่า “เชื่อมั่น”)
ด้านผลประกอบการ ด้านปริมาณการผลิต ด้านการจ้างงาน และด้านการลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกัน ปัจจัยด้านคำสั่งซื้อ และด้านต้นทุนประกอบการปรับลดลง

หากแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า ไตรมาส 1/2568 มี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีดัชนีความเชื่อมั่น สูงกว่าระดับ 50 ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ มีดัชนีความเชื่อมั่น อยู่ที่ระดับ 51.5 กลุ่มอุตสาหกรรมบริการด้านดิจิทัล อยู่ที่ระดับ 53.5 และกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม อยู่ที่ระดับ 52.0 ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ มีดัชนีความเชื่อมั่น ต่ำกว่าระดับ 50 โดยอยู่ที่ระดับ 45.8 และ 46.4 ตามลำดับ

ADVERTISMENT

ขณะที่ไตรมาส 4/2567 มี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีดัชนีความเชื่อมั่น สูงกว่าระดับ 50 ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ อยู่ที่ระดับ 50.3 กลุ่มอุตสาหกรรมบริการด้านดิจิทัล อยู่ที่ระดับ 53.3 และกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม อยู่ที่ระดับ 50.2 ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ มีดัชนีความเชื่อมั่น อยู่ที่ระดับ 44.2 และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ อยู่ที่ระดับ 43.7

“ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยคาดหวังให้ภาครัฐเร่งพัฒนากำลังคนดิจิทัลภายในประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม พร้อมส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และเปิดโอกาสต่อยอดนวัตกรรมเทคโนโลยีเกิดใหม่ สนับสนุนการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม จัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ”

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจนี้จัดทำก่อนจะมีการประกาศนโยบายขึ้นผ่านต่างตอบโต้ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจต้องมีการทำสำรวจใหม่อีกครั้ง เพราะหากย้อนดูดัชนีในไตรมาสก่อน ผู้ประกอบการด้านฮาร์ดแวร์ เริ่มกังวลตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 หลังการเลือกตั้งสหรัฐ ส่งผลลบต่อความเชื่อมั่น อยู่ที่ 48.8 (ต่ำกว่า 50 ถือว่าไม่มีความเชื่อมั่น) แต่เมื่อสำรวจในเดือน ม.ค. 2568 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่น เพิ่มเป็น 50.1

แต่ในวันนี้เราต้องตั้งคำถามใหม่เพราะ “ภาษีทรัมป์” เพิ่งประกาศเมื่อ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลต่อกลุ่มผู้ประกอบการฮาร์ดแวร์แน่นอน

โดยกลุ่มประชากรที่สำรวจ 60 ราย คิดเป็น 30% ของผู้ประกอบการฮาร์ดแวร์ทั้งหมดในประเทศ เฉพาะบริษัท ฮาร์ดแวร์สำคัญที่ผลิต “ฮาร์ดดิส” ส่งออกกว่าแสนล้านบาทเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกา ที่ได้สิทธิพิเศษ BOI

ดังนั้น เรื่องผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจากมาตรการถาษีทรัมป์ ต้องมองใหม่ ต้องมาดูว่าจริง ๆ แล้วมาตรการภาษีเหล่านี้เป็นการโยนหินถามทางที่มีเจตนาซ่อนอยู่ ว่าใครจะเลือกข้างใคร ใครเสียผลประโยชน์บ้าง เพื่อให้เราไม่หลงทางในการเจรจา

“มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากทุกประเทศ ส่วนประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐ จะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 36% จากเดิมที่มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมานั้น ถือเป็นการโยนหินถามทางเพื่อสังเกตท่าทีของคู่ค้าสหรัฐ แต่ยอมรับว่าอาจส่งผลกระทบต่อ GDP ของประเทศ”

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะยังไม่ส่งผลอย่างทันท่วงที ซึ่งสอดคล้องกับการประกาศล่าสุดกับการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากคู่ค้าส่วนใหญ่ลงเหลือ 10% เป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดทางให้เกิดการเจรจาการค้า โดยมีผลบังคับใช้ทันที ยกเว้นสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่สหรัฐ ปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเป็น 125%

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ประเทศไทยจะต้องเตรียมการในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาตลาดใหม่ทดแทนสหรัฐ ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนสถานะให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมูลค่าเพิ่ม และการสร้างช่องทางการส่งออกให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อย และรายย่อย โดยไทยจะมีรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้นจากผู้ประกอบการเหล่านั้น ซึ่งถือเป็นการกระจายเม็ดเงินสู่ระดับฐานราก และเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจ รวมไปถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม PromptTrade หรือระบบการค้าระหว่างประเทศรูปแบบดิจิทัล (International Trade Digitization)