กว่าจะเป็นฟีเจอร์ Grab ต้องผ่านการคิดอะไรมาบ้าง ?

grab
ฟิลลิป แคนดัล-แอนโทนี ตัน

แม้ว่า “แกร็บ” (Grab) จะเป็นสตาร์ตอัพที่เติบโตจากการเป็นแพลตฟอร์มสำหรับเรียกรถ (Ride Hailing) แต่ปัจจุบันมีบริการอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ดีลิเวอรี่ (Food), มาร์ต (Mart) และส่งของ (Express) ที่สำคัญยังเดินหน้าพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้กว่า 40 ล้านคน ใน 8 ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นไทย สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย กัมพูชา เมียนมา และลาว

เมื่อเร็ว ๆ นี้ (8 เม.ย.) แกร็บจัดงาน “GrabX” ครั้งแรก ณ ประเทศสิงคโปร์ เพื่อประกาศไลน์อัพฟีเจอร์ใหม่ที่จะเริ่มให้บริการในปีนี้ โดยทั้งหมดพัฒนาขึ้นมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้ใช้แต่ละกลุ่ม และกว่าที่จะได้ออกมาเป็นฟีเจอร์เหล่านี้ต้องผ่านการคิด การวางแผนเรื่องทรัพยากร และการออกแบบระบบที่มีความซับซ้อน

เปิดไลน์อัพฟีเจอร์ใหม่

ในงาน GrabX เปิดตัวนวัตกรรม และบริการใหม่ ๆ แบ่งได้ทั้งหมด 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มแรก เป็นบริการสำหรับกลุ่มครอบครัว ได้แก่ 1.Grab for Family | Teens ที่ออกมาเพื่อช่วยให้บุตร-หลานอายุ 13-17 ปี สามารถเดินทางด้วยตนเองได้อย่างปลอดภัย โดยเชื่อมบัญชี Teens เข้ากับบัญชีของผู้ปกครอง

2.Gatherings Made Seamless โซลูชั่นจัดการออร์เดอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งระบบจะพิจารณาจัดส่งด้วยรถยนต์ หรือแยกออร์เดอร์ออกเป็น 2 ชุด และจัดส่งด้วยไรเดอร์ 2 คน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

กลุ่มที่สอง เป็นบริการสำหรับผู้ใช้คนเดียว ได้แก่ 1.GrabFood for One สั่งอาหารทานคนเดียวด้วยเมนูจานเดี่ยวในราคาย่อมเยา ไม่มีขั้นต่ำในการสั่งซื้อ และมีอัตราค่าส่งตายตัว 2.Shared Saver บริการที่ให้สั่งออร์เดอร์ขนาดเล็ก โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมคำสั่งซื้อขนาดเล็ก โดยระบบจะรวมคำสั่งซื้อของผู้อื่นที่อยู่ใกล้ ๆ มาไว้ด้วยกัน

ADVERTISMENT

กลุ่มสุดท้าย เป็นบริการสำหรับผู้ที่ชอบหาประสบการณ์ใหม่ ๆ คือ 1.Advance Booking (Airport Pickup) บริการจองรถรับ-ส่งสนามบินล่วงหน้า มีระบบติดตามสถานะเที่ยวบินแบบเรียลไทม์ ปรับเวลานัดหมายกับคนขับให้ตรงกับเวลาที่เครื่องลง 2.Dine Out Discovery (Powered by GrabMaps) ช่วยค้นหาร้านอาหารผ่านระบบคัดกรองที่แยกตามประเภทและคะแนนรีวิว และสามารถจองโต๊ะได้หากร้านร่วมให้บริการ และ 3.Grab Travel Pass แพ็กเกจส่วนลดการเดินทางที่สามารถซื้อได้บนแอป

Advance Booking (Airport Pickup)
Advance Booking (Airport Pickup)
Dine Out Discovery (Powered by GrabMaps)
Dine Out Discovery (Powered by GrabMaps)
Shared Saver
Shared Saver

ไม่ใช่เท่านั้น แกร็บยังพัฒนา “AI Assistant” แชตบอตให้คำแนะนำร้านค้าในการทำธุรกิจแบบ 24/7 เช่น การจัดการออร์เดอร์ การโปรโมตเมนูขายดี และการขอสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งร้านค้าจะใช้งานได้บนแอป GrabMerchant โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ชู “AI-First with Heart”

“แอนโทนี ตัน” ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Grab กล่าวว่า ตลอด 13 ปีที่ให้บริการมา แกร็บเริ่มจากการช่วยเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทาง และเรียกรถ โดยเฉพาะกับเด็กและผู้หญิง ก่อนจะขยายไปสู่บริการอื่น ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล

บนความมุ่งหวังที่จะยังคงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ จึงพยายามพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ ๆ ที่แก้ปัญหา และตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น ภายใต้แนวคิด “AI-First with Heart” พร้อมไปกับการสร้างความร่วมมือกับ OpenAI และ Anthropic เพื่อนำ LLM (Large Language Model) มาเติมเต็มความสามารถของฟีเจอร์ต่าง ๆ

“เทคโนโลยีที่แกร็บใช้เพื่อพัฒนาบริการในช่วงแรกมีหลายอย่าง เช่น Ride Tracking ที่ช่วยติดตามเส้นทางการเดินทาง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้ฟีเจอร์ต่าง ๆ ทำงานได้ดียิ่งขึ้น จึงตัดสินใจนำ AI ที่มีความสามารถในการขยายสเกลหลายสิบเท่ามาใช้ เพื่อผู้ใช้ ร้านค้า และคนขับที่อยู่ในอีโคซิสเต็มของแกร็บ”

เพิ่มฟีเจอร์ขยายฐานผู้ใช้

“ฟิลลิป แคนดัล” Chief Product Officer, Grab เปิดเผยว่า การพัฒนาฟีเจอร์อย่างต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มีความสำคัญกับการเติบโตของแกร็บ เพราะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ และช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจใช้บริการบนแอปตลอดทั้งวัน จากที่เคยใช้แค่เรียกรถ ก็เริ่มใช้บริการอื่น ๆ มากขึ้นด้วย

ที่ผ่านมา ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาได้รับการตอบรับจากผู้ใช้เป็นอย่างดี ช่วยสร้างการเติบโตในหลายด้าน เช่น ฟีเจอร์ Group Orders ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มพนักงานออฟฟิศมาก ๆ และ Family Account หรือการเรียกรถให้สมาชิกในครอบครัว ก็ช่วยให้แกร็บมีฐานผู้ใช้มากขึ้น

“20% ของผู้ใช้ที่เพิ่งใช้แอปเป็นกลุ่มวัยรุ่น แม้โซลูชั่นจัดการออร์เดอร์ขนาดใหญ่ที่ต้องใช้รถ 2 คัน ในการจัดส่ง 1 ออร์เดอร์ จะทำให้ต้องใช้ทรัพยากรในการจัดการมากขึ้น แต่ถ้าไม่ทำโซลูชั่นมารองรับ เราอาจสูญเสียโอกาสในการสร้างรายได้จากออร์เดอร์ใหญ่ไปเลยก็ได้ จึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการจัดสรรทรัพยากรให้สอดคล้องกับความต้องการที่จะเกิดขึ้น”

ใช้ GenAI สไตล์แกร็บ

ด้าน “สวาตี โจชี” Principal Product Manager, Artificial Intelligence Platform Team, Grab กล่าวว่า แกร็บนำ GenAI มาพัฒนาการทำงาน 3 ส่วน คือ 1.แก้ปัญหาที่ซับซ้อน เช่น กำหนดสัญลักษณ์บนแผนที่ให้สอดคล้องกับตำแหน่งของสถานที่จริง ซึ่งการวิเคราะห์ของ AI ช่วยเพิ่มความแม่นยำถึง 80% 2.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร เช่น Jarvis โมเดล AI ที่ทำหน้าที่คล้าย Data Analyst ช่วยสร้างรายงานอัตโนมัติ ลดการทำงานซ้ำซ้อน และ 3.ทำให้ประสบการณ์ของคนในวงจรธุรกิจดีขึ้น เช่น โซลูชั่น AI สำหรับร้านค้า ที่ช่วยสร้างรูปอาหาร และคำบรรยายเมนู เป็นต้น

“GenAI เก่งเรื่องการคาดการณ์ และการตัดสินใจ ทำให้เหล่า Grabber (ทีมของแกร็บ) มีเวิร์กโฟลว์การทำงานที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว”

“สวาตี” บอกด้วยว่า ปัจจุบันแกร็บมีสิทธิบัตรการพัฒนาโมเดล AI/ML กว่า 1,000 รายการ ครอบคลุมทุกบริการ เช่น การจัดสรรทรัพยากร และการกำหนดราคา (Marketplace Management) การจัดการด้านความปลอดภัย (Risk & Safety) การปรับแต่งตามการใช้งานเฉพาะบุคคล (Search & Personalization) และการปล่อยกู้ (Lending) เป็นต้น

“ความท้าทายของการให้บริการในแต่ละประเทศ คือเรื่องภาษาที่แตกต่างกัน เช่น ภาษาไทย มีโครงสร้างที่ซับซ้อน ก็ต้องปรับการแสดงผลให้สอดคล้องกัน แต่ละพื้นที่จะมีพาร์ตเนอร์ที่คอยซัพพอร์ต อีกทั้งแต่ละประเทศยังมีลักษณะการใช้ชีวิตต่างกัน การออกแบบฟีเจอร์ก็ต้องปรับให้เหมาะสม เช่น ประเทศอื่นมี GrabBike เรียกรถมอเตอร์ไซค์ แต่สิงคโปร์ไม่มี”

พัฒนาแผนที่จากข้อมูล IOT

นอกจากจะนำ GenAI มาใช้ในการพัฒนาฟีเจอร์ต่าง ๆ แล้ว ยังให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่แล้วพัฒนาเป็น “GrabMaps” เพื่อเป็นรากฐานในการต่อยอดบริการใหม่ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งาน โดยแกร็บเริ่มเก็บข้อมูลพื้นที่ด้วย KartaCam เป็นกล้องที่ติดอยู่บนหมวกกันน็อกของคนขับตั้งแต่ปี 2564

จุดแข็งของ GrabMaps อยู่ที่ความแม่นยำของข้อมูลพื้นที่ในประเทศที่แกร็บให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ลับ ตรอก ซอย ซึ่งไม่มีระบุไว้ในแผนที่ของผู้ให้บริการรายอื่น

KartaCam
กล้อง KartaCam
KartaCam-Grab
การติดตั้งกล้อง KartaCam บนรถยนต์

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอุปกรณ์ IOT ของแกร็บไม่ได้มีแค่การเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ แต่ยังมีเรื่องการจัดสรรเวลาในการส่งออร์เดอร์ด้วย เช่น Grab Beacon อุปกรณ์ส่งสัญญาณที่ช่วยให้คนขับคำนวณเวลาในการรับอาหารที่ร้านได้แม่นยำมากขึ้น และในอนาคตมีแผนที่จะศึกษาและทดสอบเทคโนโลยีอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโดรนส่งอาหาร, หุ่นยนต์ดีลิเวอรี่, Lidar Camera และ Food Locker เวอร์ชั่นใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้มากขึ้น

Grab-Food Locker
Food Locker ที่ใช้ในปัจจุบัน ณ สำนักงานใหญ่ Grab ประเทศสิงคโปร์

ซีอีโอ Grab ทิ้งท้ายด้วยว่า DNA ของแกร็บ คือ “Solve Real Problems for Real People” แก้ปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่แค่พัฒนาโซลูชั่นเพื่อใช้งานผ่านหน้าจอ แต่ต้อง “ฟัง” ว่าผู้ใช้งานจริงต้องการอะไร

“เชื่อว่าการนำ GenAI มาใช้ในโซลูชั่นต่าง ๆ จะช่วยให้คนในวงจรธุรกิจทั้งร้านค้าและคนขับมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น หรือแม้แต่คุณภาพชีวิตของผู้คนในเมืองที่ขนส่งสาธารณะไม่พร้อมก็จะดีขึ้น และเชื่อมต่อกับเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ”