ธุรกิจ Data Center ไทย ปี’68 คาดโต 8% จากการขยายตัว 3 ตลาดหลัก

Data Center ดาต้าเซ็นเตอร์ การเติบโต

ธุรกิจ Data Center-กระแส AI มาแรง คาดปี 2568 รายได้ธุรกิจขยายตัวขึ้น 8% ‘การเงิน-ค้าส่ง-ปลีก-สุขภาพ’ 3 ตลาดหลัก ดันเติบโต พร้อมรายละเอียด ลงทุน Data Center เศรษฐกิจไทย ได้อะไร ?

ธุรกิจ Data Center หนึ่งในธุรกิจที่เติบโตพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการทำงาน การให้บริการ ที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับช่องทางดิจิทัลมากขึ้น และประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความสนใจจากบริษัทต่างชาติในการเข้ามาลงทุนสร้าง Data Center

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ตลาดบริการดาต้าเซ็นเตอร์ในปี 2568 คาดว่าจะมีสัดส่วนสูงถึง 43.3% ของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ไทยโดยรวม ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจไทยมีแนวโน้มหันมาเลือกใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์แทนการลงทุนเอง เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเข้าถึง Solution AI สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลที่ผู้ให้บริการนำเสนอควบคู่กับการจัดเก็บข้อมูล

ในปี 2568 รายได้ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ไทยคาดว่าจะขยายตัว 8% ตามความต้องการใช้งานที่มากขึ้นใน 3 ตลาดหลัก ได้แก่ ตลาดภาคการเงิน และตลาดภาคค้าส่ง-ค้าปลีก ที่ขยายตัวได้ดีตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้จ่ายออนไลน์มากขึ้น ในขณะที่ตลาดภาคบริการสุขภาพ จะขยายตัวตามกระแสรักสุขภาพและการเข้าสู่สังคมสูงอายุ

พร้อมทั้งระบุว่าธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ไทยกำลังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้รวมมีทิศทางเติบโตเฉลี่ย 12.6% ต่อปี ความต้องการบริการจัดเก็บข้อมูลในไทยส่วนใหญ่ราว 94% มาจากองค์กรธุรกิจเอกชน

โดยเติบโตตามความเปลี่ยนแปลงในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจ ทั้งเพื่อการวางแผนและการเข้าถึงลูกค้า โดยเฉพาะในปัจจุบันที่หลายองค์กรธุรกิจไทยเริ่มทดลองและนำเทคโนโลยี AI มาใช้ ส่งผลให้ปริมาณข้อมูลที่ต้องประมวลผลและจัดเก็บขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มสูงขึ้น

ADVERTISMENT

ธุรกิจไทยเลือกใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์แทนการลงทุนเอง

ปัจจุบัน องค์กรธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็ก หันมาเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอกแทนการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์เอง ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรและเงินลงทุนสูง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน บุคคลากร และเทคโนโลยี สำหรับปี 2568 คาดว่าตลาดบริการดาต้าเซ็นเตอร์จะมีสัดส่วนสูงถึง 43.3% ของมูลค่าตลาดโดยรวม

นอกจากนี้ องค์กรธุรกิจยังเลือกใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากผู้ให้บริการในปัจจุบันมักเปิดให้บริการ Solution สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI ควบคู่ไปกับบริการจัดเก็บข้อมูล ทั้งนี้ ในปี 2567 องค์กรไทยกว่า 17.8% ได้นำ AI มาใช้แล้ว และอีกกว่า 73.3% มีแผนจะนำมาใช้ในอนาคต

ADVERTISMENT

คาดปี 2568 รายได้รวมเติบโต 8%

รายได้รวมธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยราว 72% มาจาก 3 ตลาดหลัก ได้แก่ ภาคการเงินที่มีสัดส่วนตลาดสูงสุดราว 27% รองลงมาคือ ภาคค้าส่งและค้าปลีก 25% และภาคบริการสุขภาพ 20%

รายได้ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ยังคงเติบโตได้ดีในปี 2568 โดยได้แรงหนุนหลักจากภาคการเงิน และภาคค้าส่ง-ค้าปลีกที่ขยายตัวต่อเนื่องตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้จ่ายออนไลน์เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคบริการสุขภาพเติบโตตามกระแสรักสุขภาพและการเข้าสู่สังคมสูงอายุ

รายได้ตลาดภาคการเงินคาดว่าจะขยายตัว 8.1%

ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับภาคการเงิน มีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลของธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบชำระเงินสมัยใหม่ ได้แก่ PromptPay และ e-Wallet ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 90% ของจำนวนธุรกรรมชำระเงินของไทยในปัจจุบัน และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยในปี 2568 จำนวนธุรกรรมโดยรวมผ่านระบบชำระเงินทั้งสองดังกล่าว คาดว่าจะเติบโตราว 13.6%

นอกจากนี้ การเข้ามามีบทบาทในการตรวจพิสูจน์บุคคลของ AI ผ่านการแสกนใบหน้า ทำให้ความต้องการใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์จากภาคการเงินขยายตัว เพื่อจัดเก็บข้อมูลภาพใบหน้าสำหรับยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรม

รายได้ตลาดภาคค้าส่งและค้าปลีกคาดว่าจะขยายตัว 9.0%

ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับภาคค้าส่งและค้าปลีก มีแนวโน้มเติบโตตามการขยายตัวของโมเดิร์นเทรดและอีคอมเมิร์ซ ที่คาดว่าจะขยายตัว 4.8% และไม่น้อยกว่า 8% ในปี 2568 ทำให้ความต้องการใช้งานบริการดาต้าเซ็นเตอร์เป็นที่ต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่มีปริมาณการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นสูงในระยะเวลาอันสั้น เช่น เทศกาลวันหยุดหรือแคมเปญลดราคาครั้งใหญ่ เพราะบริการดังกล่าวมีความยืดหยุ่นในการเพิ่มพื้นที่จัดเก็บตามความต้องการได้ทันที

การนำ AI มาช่วยในระบบแนะนำสินค้าสำหรับภาคค้าส่ง-ค้าปลีก ถือเป็นอีกปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโตของความต้องการใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากธุรกิจจำเป็นต้องจัดเก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าแต่ละราย เพื่อให้สามารถทำกลยุทธ์การตลาดได้เฉพาะเจาะจงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น

รายได้ตลาดภาคบริการสุขภาพคาดว่าจะขยายตัว 5.1%

ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับภาคบริการสุขภาพ มีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากจำนวนผู้ป่วยคนไทยที่มีทิศทางเติบโตราว 7.4% ต่อปี หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามกระแสรักสุขภาพ และการเข้าสู่สังคมสูงอายุของไทย รวมถึงผู้ป่วยชาวต่างชาติ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราว 5% ในปี 2568 โดยเฉพาะกลุ่ม Medical Tourism ที่ยังเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในไทยต่อเนื่อง

นอกจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น เทคโนโลยี AI เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเร่งที่ทำให้ความต้องการดาต้าเซ็นเตอร์จากภาคบริการสุขภาพขยายตัว เช่น AI Chatbot ที่ต้องเก็บข้อมูลบทสนทนาและสุขภาพเพื่อการวินิจฉัยและติดตามผล เป็นต้น ส่งผลให้ปริมาณข้อมูลที่ต้องจัดเก็บเพิ่มขึ้น

เปิดความเสี่ยงระยะกลาง-ยาว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังมองความเสี่ยงระยะกลางถึงระยะยาว ของธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ ใน 4 ประเด็น ดังนี้

การบังคับใช้ พ.ร.บ. Climate Change อาจกดดันให้ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ต้องหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลในการประมวลผลข้อมูล โดยดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าเทียบเท่ากับหลายแสนครัวเรือนต่อปี ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะอยู่ในระดับสูงหากต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ

การแข่งขันของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ระดับภูมิภาคทวีความรุนแรงขึ้น โดยผู้ให้บริการไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากประเทศคู่แข่งอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ครอบคลุมทั้งภูมิภาคอาเซียน

ปัญหาขาดแคลนแรงงานดิจิทัลขั้นสูงเป็นความท้าทายต่อธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่ไทยยังผลิตบุคลากรเหล่านี้ไม่เพียงพอ สะท้อนจากการที่ผู้ลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ข้ามชาติริเริ่มโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับบุคลากรไทย เพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานที่ยังสูงกว่าที่มีในตลาด

เทคโนโลยีด้านวิเคราะห์ข้อมูลโดยเฉพาะ AI และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไว ทำให้ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์มีความจำเป็นต้องติดตามและลงทุนเพิ่มเติมเพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการอยู่เสมอ
การลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ต้องพิจารณาถึง Internet Bandwidth ที่สามารถรองรับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของปริมาณข้อมูลที่ต้องเชื่อมต่อเข้ามาจัดเก็บในอนาคต ทำให้สถานที่ตั้งของดาต้าเซ็นเตอร์ต้องอยู่ใกล้ชุมสายอินเทอร์เน็ต

ลงทุน Data Center เศรษฐกิจไทยได้อะไร ?

ก่อนหน้านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดข้อมูลระบุว่า การลงทุนใน Data Center เพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด-19 โดยข้อมูลล่าสุด ช่วงมกราคม-กันยายน 2567 มีเงินลงทุนสำหรับโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนด้าน Data Center มากถึง 36,920 ล้านบาท

ขณะที่การจ้างงานจากโครงการด้าน Data Center ปี 2567 อยู่ที่ 307 ตำแหน่ง และแม้จะสร้างงานโดยตรงเป็นจำนวนที่น้อย แต่ต้องการทักษะเฉพาะทางและให้ผลตอบแทนที่สูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า ในการลงทุน Data Center ทุก 1,000 ล้านบาท เศรษฐกิจไทยจะได้อะไรบ้าง โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ

  • การก่อสร้าง – การก่อสร้างอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน โดยใช้วัสดุและแรงงานในประเทศเป็นหลัก จำนวน 400 ล้านบาท
  • การบริการ – รายได้จากการให้บริการต่อปี คาดว่าจะอยู่ที่ราว 240 ล้านบาท
  • การจ้างงาน – มีการจ้างงาน 10 ตำแหน่ง (คนไทย 9 ตำแหน่ง ชาวต่างชาติ 1 ตำแหน่ง) สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการจ้างงานต่อปี ประมาณ 10-13 ล้านบาท