หมดยุคลงทุน GenAI ? เมื่อ ‘เอเชีย-แปซิฟิก’ จัดระเบียบ Data

GenAI
สินิสา นิโกลิก-อมา บาบู

ตั้งแต่การเปิดตัว Generative AI ของ OpenAI อย่าง ChatGPT ปลายปี 2565 ทั้งโลกเรียกได้ว่าตกอยู่ในอาการคลั่งไคล้ Hype บ้างก็วาดฉากทัศน์ในอนาคตเรื่องการงาน อาชีพ และวัฒนธรรม เมื่อ GenAI เข้ามีส่วน บ้างก็ถึงขั้น “กลัว” ว่าจะตกขบวนเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามาทำให้เกิดการลงทุนมหาศาลทั้งในส่วนซอฟต์แวร์ และการนำไปปรับใช้ในองค์กร รวมถึงฝั่งฮาร์ดแวร์ชิปประมวลผล และศูนย์กลางข้อมูลระดับสูง (Hyper Scaler Datacenter)

การลงทุนมหาศาลเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายปี โดยที่หลายฝ่ายยังมองไม่เห็นปลายทางว่าจะ “คืนทุนเมื่อไร” แต่แน่นอนว่าในฝั่งผู้พัฒนา และผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เอไอมองว่าผู้ลงทุนจะลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น

ผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจลงทุนด้านไอทีในองค์กรต่างคาดหวังว่าจะสามารถนำ GenAI มาปรับใช้ในองค์กร

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนเอไอเปลี่ยนไปแล้ว จากรายงาน CIO Playbook 2025 ล่าสุด ซึ่งจัดทำขึ้นโดย Lenovo และข้อมูลจาก IDC ครั้งที่ 3 มีผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลกกว่า 2,900 คน รวมถึงเหล่าผู้บริหาร และผู้มีอำนาจตัดสินใจ ด้านไอทีกว่า 900 คน ใน 12 ตลาดทั่วในเอเชีย-แปซิฟิก (APAC) ได้แก่ อินเดีย, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และอาเซียนพลัส (ไทย, สิงคโปร์, ฮ่องกง,ไต้หวัน ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย)

โลกกลับสู่การจัดการ Data

“สินิสา นิโกลิก” ผู้อำนวยการ PC, AI & CSP ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก “เลอโนโว” อธิบายว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า AI เป็นเรื่องจริง และเป็นเส้นทางที่โลกต้องไป ทำให้หลายคนเกิดอาการ FOMO หรือกลัวตกขบวน แต่ปีนี้แนวโน้มหลายอย่างเปลี่ยนไป

“การสำรวจของ CIO Playbook ตั้งแต่ปี 2566 พบว่าสิ่งที่องค์กรทั่วเอเชีย-แปซิฟิกให้ความสำคัญอันดับแรก คือการปรับใช้ AI ในองค์กร โดยเฉพาะ GenAI แต่ปีนี้ความต้องการดังกล่าวตกไปอยู่อันดับที่ 6 ขณะที่ความสำคัญอันดับแรกคือ เรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบ Data Ragulatory Compliance จากที่เคยสำคัญอันดับที่ 12 ในปี 2567”

สอดคล้องกับสถานการณ์การพัฒนาด้านกฎระเบียบ ความปลอดภัยในข้อมูล และการรักษาข้อมูลของตัวผู้ใช้งานเองที่เกิดการตระหนักรู้ไปทั่วโลก องค์กรหลายองค์กรเริ่มเล็งเห็นแล้วว่า ข้อมูลสำคัญขององค์กรไม่ควรนำไปประมวลผลบนคลาวด์ หรือโมเดลเอไอสาธารณะทั้งหมด จึงหันมาพิจารณาการจัดระเบียบข้อมูลภายในองค์กร มีการลงทุนในคลาวด์และเซิร์ฟเวอร์ ก่อนที่จะลงทุนเอไอ

ADVERTISMENT

ทั้งการบังคับใช้กฎระเบียบความปลอดภัยข้อมูล และการจัดการข้อมูลขององค์กรจะส่งผลไปยังการลงทุนด้านฮาร์ดแวร์ และดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย

“เมื่อก่อนใคร ๆ ก็อยากไปคลาวด์ แต่ตอนนี้ดาต้าหลายส่วนต้องเคลื่อนย้ายกลับสู่เซิร์ฟเวอร์ภายในแบบ On Premis แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แนวโน้มที่ไปแน่ ๆ คือ องค์กรจะหันมาใช้ Hybridge Cloud ไปจนถึง Hybridge AI ในส่วนที่ต้องใช้การประมวลผลภายนอกจากโมเดลเอไอสาธารณะต้องใช้คลาวด์ ส่วนการประมวลผลเฉพาะทางจะใช้โมเดลเอไอภายในที่เล็กลง”

องค์กรหวังคืนทุนเร็วขึ้น

นอกจากนี้ ความสำคัญอันดับสองที่องค์กรสนใจในปี 2567-2568 คือ การเพิ่มผลิตภาพให้พนักงานองค์กรด้วย “เอไอ” ซึ่งปีที่ผ่านมาอยู่ในลำดับที่ 7 แต่ปีนี้ขยับขึ้นเป็นอันดับ 2 หมายความว่าองค์กรต่าง ๆ คิดเรื่องประสิทธิภาพ เพื่อ “คืนทุน” จากการลงทุน

“การลงทุนด้าน AI เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากพิจารณาเทียบกับการลงทุนด้านไอทีทั่วไป องค์กรใน APAC ลงทุนมากกว่างบประมาณไอที 3.3 เท่า หากแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลงทุนเอไอมากที่สุด คือ Health Care สูงถึง 5.3 เท่ารองลงมาเป็นโทรคมนาคม 3.6 เท่า ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกลงทุนเอไออยู่ที่ 2.8 เท่า”

คีย์สำคัญเน้นลงทุน 2 ส่วน คือ 1.เทคโนโลยี ได้แก่ ดาต้า โครงสร้างพื้นฐาน เอดจ์ เอไอแอปพลิเคชั่น 2.ใช้งานด้านธุรกิจ ได้แก่ ITOps ความปลอดภัยไซเบอร์ ซอฟต์แวร์เดฟ และการจัดการซัพพลายเชน เป็นต้น

“ในขณะที่การประยุกต์ใช้ AI ของธุรกิจในกลุ่มอาเซียนพลัสยังอยู่ในสถานะเริ่มต้น จากผลสำรวจพบว่า 47% ของธุรกิจในอาเซียนพลัสอยู่ในขั้นตอนการประเมิน หรือวางแผนการนำ AI มาใช้ทางธุรกิจในอีก 12 เดือนข้างหน้า ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับธุรกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (56%) และทั่วโลก (49%)”

อุปสรรคสำคัญของการนำ AI มาใช้ คือ อัตราการคืนทุน หรือ ROI จากผลสำรวจพบว่า สิงคโปร์ เป็นผู้นำในกลุ่มอาเซียนพลัส โดยเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคด้วยความพร้อมด้าน AI ที่ล้ำหน้า และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดอื่นในกลุ่มอาเซียนพลัสยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากร และความเชี่ยวชาญ

การทำให้ AI นำมาซึ่ง ROI ต้องอาศัยความสมดุลระหว่างการทดลองใช้งาน AI กับการมีโครงการที่ขยายผลได้ โดยประเด็นที่น่าสนใจคือ ธุรกิจ และองค์กรในเอเชีย-แปซิฟิก คาดหวังที่จะได้รับ ROI ถึง 3.6 เท่าโดยเฉลี่ย จากการลงทุนในโปรเจ็กต์ AI ต่าง ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นจริงได้ต้องอาศัยความรอบคอบในการขยายการใช้งาน AI และการพัฒนาศักยภาพในองค์กรไปพร้อมกัน

ส่อง 3 ความท้าทาย

ความท้าทายที่เพิ่งเริ่มใช้งาน AI คือ การเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบซัพพลายเชน, การพัฒนาข้อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎระเบียบส่วนกลาง และการเสริมประสิทธิภาพให้การทำงานของพนักงาน เป็นตัวช่วยเพื่อรับมือกับความท้าทายทางธุรกิจ แบ่งเป็น 3 ส่วน อย่างแรก คือการบริหารจัดการข้อมูลภายใน และภายนอก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพสูงที่สุด และเป็นไปตามกฎระเบียบที่สุด ตามแนวโน้มของโลกที่จะโฟกัสตรงนี้

“เพราะอย่างที่หลายคนเปรียบเทียบกันว่า ข้อมูลเป็นเงินตราใหม่ เป็นทองคำ เป็นน้ำมัน เป็นทุกสิ่ง การจัดการข้อมูลที่ดีตั้งแต่เริ่มแรก ก่อนจะนำไปพัฒนาโมเดลเอไอของตน กลับมาเป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ”

อย่างที่สอง คือ ความท้าทายด้าน IT Infastructure และ Network Costs โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้าน GPU และการประมวลผลที่เพิ่มสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า ทำให้หลายคนพิจารณาทางเลือกที่หลากหลายอย่างการใช้โครงข่ายแบบไฮบริด, เอดจ์ คลาวด์ และออนพริมิส

สุดท้ายคือเรื่องจุดสิ้นสุดของการพัฒนา การปรับดาต้าและเอไอมาใช้จะนำไปใช้ตรงไหนอย่างไรให้เกิดประโยชน์สุด

ช่วย SMEs เข้าถึงเอไอ

ด้าน “อมา บาบู” ประธานเลอโนโว ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กล่าวด้วยว่า เอเชีย-แปซิฟิกเป็นตลาดที่โตโดดเด่นที่สุดในโลก โดยเลอโนโวมีรายได้จากภูมิภาคนี้ 19% การลงทุนด้านเอไอมีความสำคัญ บริษัทจึงเปลี่ยนตนเองสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ที่กำลังสร้าง Smarter Technology for All

“เราลงทุนปีละ 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในการวิจัยและพัฒนาเอไอ แต่จะไม่เหมือนเอไอสาธารณะที่มีใช้กันอยู่แล้ว เรามีฮาร์ดแวร์ตั้งแต่ระดับพ็อกเกต จนถึงดาต้าเซ็นเตอร์ มีบริการตั้งแต่ดีไวซ์ โซลูชั่น จนถึงเอไอโมเดล ดังนั้น เรื่องข้อมูลที่ทุกคนหวงแหนจะต้องกลายเป็นเอไอในทุกระบบ ตั้งแต่เอไอเฉพาะบุคคล เอไอองค์กร และเอไอสาธารณะ โรงงานเอไอ ของเรามีการพัฒนาเพื่อแยกไปตามเซ็กเตอร์ แต่ละเซ็กเตอร์จะมีเอไอเอเย่นต์ที่ต่างกัน ทั้งภาคสาธารณสุข โรงงาน หรือรีเทล”

ผู้บริหาร “เลอโนโว” ย้ำว่า เอไอเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่แนวคิดทางธุรกิจ แต่เป็นแนวทางจริงในการทำธุรกิจ ปัญหาวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องการลงทุนขององค์กรขนาดใหญ่ เพราะมีเงินทุน มีคน แต่จะทำอย่างไรให้องค์กรเล็ก และธุรกิจรายย่อยเข้าถึงเอไอได้ เพื่อให้พวกเขามีศักยภาพในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเลอโนโวสนใจที่จะเข้าไปหาทางในการนำเอไอไปถึงรายเล็กให้ได้