NT ลุ้นบิ๊กดีลพันธมิตร พลิกวิกฤต ‘เผาจริง’ ย้ำไม่ขายธุรกิจ

pca_Cover_photo
สรรพชัย หุวะนันทน์

การประมูลคลื่นความถี่ใหม่โดย กสทช.ในปลายเดือน มิ.ย. เท่ากับนับถอยหลังสิทธิในการถือครองคลื่นทั้ง 850, 2100 และ 2300 MHz ของ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ NT ที่กำลังจะหมดอายุในเดือน ส.ค.ปีนี้-2568 ซึ่งจะหมายถึงรายได้หลัก (กว่า 40% ของรายได้รวม) ที่เคยมีปีละหลายหมื่นล้านบาทจะหายวับไปด้วย

ในระหว่างทาง NT จึงต้องดิ้นรนเพื่อหาหนทางเพิ่มรายได้ หนึ่งในแนวทางที่ “สรรพชัย หุวะนันทน์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ NT พูดมาตลอดก็คือ การหาพันธมิตรธุรกิจ

และเมื่อเร็ว ๆ นี้ เป็นที่ปรากฏว่า AIS เป็นหนึ่งในบริษัทที่ยื่นข้อเสนอการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และกิจการบรอดแบนด์ โดยจะขอซื้อลูกค้าทั้งหมด พร้อมเช่าใช้ และบริหารจัดการโครงข่ายบรอดแบนด์เพื่อให้มีความต่อเนื่องในการให้บริการ

อย่างไรก็ตาม แม่ทัพ NT พูดถึงเรื่องนี้ว่า ยังไม่มีการดีลหรือทำข้อตกลงใด ๆ และว่า ไม่ได้มีแค่ AIS แต่มีเอกชนถึง 4 ราย ยื่นข้อเสนอเข้ามา มีรายละเอียดแตกต่างกัน บางรายขอเป็นพันธมิตรในทุกส่วนของธุรกิจที่เป็นไปได้ บางรายขอช่วยดูแล และบริการลูกค้าบรอดแบนด์ในบางพื้นที่ เป็นต้น

ดึงพันธมิตรช่วยทำตลาด

“สรรพชัย” เน้นย้ำว่า NT มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาข้อเสนอของพันธมิตรเพื่อติดตามดีลต่าง ๆ โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องภายในองค์กร รวมถึงตัวแทนจากสหภาพแรงงานด้วย

“พันธมิตรจะต้องเข้ามาช่วย NT ในเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะการช่วย Utilize โครงข่ายของ NT ที่มีจำนวนมาก ช่วยบริหารจัดการในพื้นที่ที่ NT มีข้อจำกัดด้านบริการ การซ่อมบำรุง หรือไม่สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มทุน ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย และไม่กระทบสถานะความเป็นรัฐวิสาหกิจ”

ข้อเสนอจากเอกชนยื่นมาแล้วอย่างน้อย 4 ราย ไม่ว่าจะเป็น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) AIS, บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์จากจีน เป็นต้น โดยแต่ละรายได้นำเสนอโครงการความร่วมมือหลากหลายรูปแบบ เช่น การบริหารทรัพย์สินของ NT เช่น เสาสัญญาณหรือระบบสาย การแบ่งปันทรัพยากรโครงข่าย (Active Sharing) การทำตลาดในพื้นที่ที่ NT เข้าไม่ถึง

ADVERTISMENT

“ในส่วนของเวนเดอร์จีน ก็มีข้อเสนอที่เฉพาะเจาะจง คือ จะช่วยทำตลาดบรอดแบนด์ในบางพื้นที่ ซึ่งเขามีต้นทุนอุปกรณ์ที่ดี และถูกกว่า ในขณะที่ NT มองว่าตลาดบรอดแบนด์ในพื้นที่อย่างกรุงเทพฯ ที่เรามีโครงข่ายครอบคลุม แต่ทำตลาดแข่งเอกชนไม่ได้ ก็น่าจะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาแข่ง”

ย้ำไม่ขายธุรกิจ

ส่วนสำคัญในข้อตกลง คือ ต้องการันตีฐานลูกค้าเดิม และการขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยแบ่งสัดส่วนผลประโยชน์อย่างชัดเจน

“ดีลที่เสนอขอดูแลลูกค้าเรานั้น ต้องดูให้ดี เราอยากให้พันธมิตรมาช่วยรักษาฐานลูกค้า 2 ล้านรายของเรา ไม่ใช่ดึงลูกค้าเราไป ซึ่งเอกชนจะสามารถทำได้ เช่น มีข้อเสนอหรือแพ็กเกจให้ลูกค้า แต่วางอยู่บนฐานของการใช้งานบนโครงข่าย NT”

“แม่ทัพ NT” กล่าวว่า คณะทำงานภายในที่พิจารณาโมเดลธุรกิจร่วมกับพันธมิตรแต่ละรายจะสรุปรายงานเพื่อเสนอบอร์ดบริหาร ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งข้อเสนอที่เข้ามาส่วนใหญ่ไม่ได้พูดถึงการซื้อขาย แต่เสนอรูปแบบความร่วมมือ เช่น การเป็นพันธมิตรด้านการตลาด หรือการเข้ามาช่วยดูแลลูกค้าในบางพื้นที่ ขณะที่ทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นของ NT และต้องย้ำว่า ต้องรักษาฐานลูกค้า ไม่ใช่ดึงออกไป”

และว่า การดูแลลูกค้าเป็นไปได้ แต่มีความซับซ้อนสูง ไม่เหมาะที่จะใช้วิธีนั้น ในขณะที่การซื้อขายกิจการหรือการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินของรัฐ “เป็นไปไม่ได้” เพราะขัดหลักการรัฐธรรมนูญที่ห้ามการจำหน่ายทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ โดยเฉพาะในกิจการโทรคมนาคมที่ถือเป็นโครงสร้างสำคัญของประเทศ

pca_Cover_photo

โชว์บรอดแบนด์ยังแกร่ง

สำหรับผลประกอบการปี 2567 ที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวม 82,741 ล้านบาท ขาดทุนเบ็ดเสร็จ 5.85 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีรายได้รวม 85,502 ล้านบาท ขาดทุน 1.72 พันล้านบาท

“บิ๊ก NT” อธิบายว่า เป็นการขาดทุนทางบัญชี เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร มีโปรแกรมเกษียณก่อนกำหนด และจะมีการปรับโครงสร้างใหม่ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้อีกครั้ง ทั้งยังมีการขาดทุนแบบก้อนใหญ่ One Time Shot เพราะแพ้คดีความต้องจ่าย 3-4 พันล้านบาท แต่การดำเนินการโดยรวมยังนับว่า “ดี” โดยเฉพาะฝั่งบรอดแบนด์ยังแข็งแกร่ง และมีโอกาสกลับมาทำกำไรได้ “หากได้พันธมิตรจากเอกชนมาช่วย จะสามารถพลิกการขาดทุนดำเนินการของบรอดแบนด์ปีละ 1-2 พันล้านบาทสู่กำไรได้

โดยธุรกิจบรอดแบนด์ในไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท แม้จะยังมีกำไรในระดับขั้นต้น แต่เมื่อรวมต้นทุนของฝ่ายสนับสนุน เช่น บัญชี กฎหมาย และบุคลากรแล้ว ส่งผลให้ภาพรวมขาดทุนราว 700-900 ล้านบาท”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจบรอดแบนด์มีความน่าดึงดูดที่สุด เพราะมีลูกค้าเกือบสองล้านราย ถ้าใครได้ไปเติมพอร์ตก็จะใหญ่มาก

ทางออกธุรกิจโมบาย

ส่วนที่น่าเป็นห่วงคือ ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile) ที่ปีหน้าจะตกอยู่ในสถานการณ์ “เผาจริง” เนื่องจากสิทธิในการถือครองคลื่นความถี่ ทั้งคลื่น 850, 2100 และ 2300 MHz จะหมดอายุในเดือน ส.ค.นี้ มีผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของ NT อย่างแน่นอน ทำให้เหลือคลื่นในมือเพียงย่านเดียวคือ 700 MHz

“ต้องยอมรับความจริงตามสภาพว่า คลื่น 700 MHz เราเหลือแค่ 5 MHz รองรับลูกค้าได้แค่จำนวนหนึ่ง ไม่สามารถทำธุรกิจ 5G ได้ และคงไม่มีการประมูลเพิ่ม แต่ในอนาคตคาดว่าจะขอแบ่งคลื่นจาก กสทช.ได้”

นอกจากนี้ NT ยังเดินหน้าแนวทางการให้บริการ 5G สำหรับหน่วยงานภาครัฐโดยไม่ต้องเข้าประมูลคลื่นความถี่ในเชิงพาณิชย์ โดยอยู่ระหว่างการหารือถึงความเป็นไปได้ในการใช้คลื่นความถี่เดิมที่ไม่ได้ใช้งาน หรือใกล้หมดอายุ โดยเฉพาะคลื่น 850 MHz ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยถือครอง เพื่อใช้ในการสื่อสารภารกิจพิเศษ เช่น ระบบเตือนภัยฉุกเฉิน, การแพทย์ทางไกล (เทเลเมดิซีน) และการบริหารในภาวะภัยพิบัติ

ชู “คลาวด์” เพิ่มโอกาส

อีกธุรกิจที่กำลังทวีความสำคัญจากนโยบาย Go Cloud First ของรัฐบาล คือ การให้บริการคอมพิวเตอร์เสมือน และคลาวด์ แบบเต็มรูปแบบ ล่าสุดมีการพัฒนาระบบคลาวด์ GDCC Open Data รองรับการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลด้านการบูรณาการข้อมูลภาครัฐให้เป็น Open Data กุญแจสำคัญสู่การเทรน AI ของภาครัฐด้วยข้อมูลของประเทศไทย

โดย NT ได้พัฒนา Cloud Management Platform (CMP) เป็นแพลตฟอร์มกลางในการบริหารจัดการเชื่อมโยงการทำงานระหว่างระบบคลาวด์ GDCC และระบบคลาวด์ GDCC Open Data ช่วยให้หน่วยงานภาครัฐเลือกใช้บริการคลาวด์ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละงาน รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพผ่านแพลตฟอร์มกลาง

สำหรับ CMP เป็นระบบที่กระจายบริการคลาวด์ไปยังผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะต่าง ๆ เช่น AWS, Oracle หรือ Azure เป็นต้น ปัจจุบันมีค่าบริการไหลผ่านแพลตฟอร์มนี้ราว 30 ล้านบาทต่อเดือน (เริ่มให้บริการ ก.พ. 2568)

ขณะที่สภาพัฒน์ได้ทำประมาณการความต้องการเซิร์ฟเวอร์เสมือน (VM-Virtual Machine) ว่าจะเพิ่มขึ้นปีละ 10,000 VM ซึ่งปัจจุบันระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) มี NT ดูแลระบบ ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน (IaaS) ด้วยระบบเซิร์ฟเวอร์เสมือนกว่า 45,000-47,000 VM รองรับกว่า 800 หน่วยงาน รวมกว่า 3,000 ระบบงาน

“ตัวเลขเป็นราย VM ตามมาตรฐานการจัดจ้างอยู่ที่ 1,700 บาท/VM/เดือน ถ้า VM โตปีละหมื่นคูณ 12 เดือน ก็เป็นรายได้ที่เพิ่มมาเกือบแสนล้านต่อปี ในระยะ 5 ปีที่ 1 แสน VM ต่อเดือน และเมื่อคำนวณต้นทุนแล้ว NT จะมีกำไร 10-20% ต่อ 1 VM”