
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ กสทช. ฉบับใหม่ พบตัด “ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย” ออกจากรายการกีฬาที่เข้ากฎ Must Have ต้องจัดให้มีการชมฟรีทางทีวีดิจิทัล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป (ฉบับที่ 2)
โดยระบุว่า “โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2555 เพื่อให้มีความเหมาะสมกับพฤติกรรมการรับชมบริการโทรทัศน์และสภาพอุตสาหกรรมโทรทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจบัน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 (6) และ (24) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ประกอบกับมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ 2 บรรดาประกาศ ระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือคำสั่งอื่นใด ในส่วนที่ได้กำหนดไว้แล้วในประกาศนี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับประกาศนี้ ให้ใช้ประกาศนี้แทน
ข้อ 3 ให้ยกเลิกภาคผนวก รายการโทรทัศน์ที่กำหนด ตามข้อ 3 ของประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร์ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2555 และให้ใช้ภาคผนวก รายการโทรทัศน์ที่กำหนด ตามข้อ 3 ท้ายประกาศนี้แทน
ประกาศ ณ วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
ศาสตราจารย์คลินิกสรณ บุญใบชัยพฤกษ์
ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
สำหรับรายการกีฬา ที่เป็นไปตามกฎ Must Have ฉบับใหม่นี้ มีเพียง 6 ชนิดกีฬา ดังนี้
- การแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเอียงใต้ หรือซีเกมส์ (South-East Asian Games, SEA Games)
- การแข่งขันกีฬาสำหรับนักกีฬาคนพิการอาเซียนพาราเกมส์ (ASEAN Para Games)
- การแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศในทวีปเอเชีย หรือเอเชียนเกมส์ (Asian Games)
- การแข่งขันกีฬาสำหรับนักกีฬาคนพิการเอเชียนพาราเกมส์ (Asian Para Games)
- การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก (Olympic Games)
- การแข่งขันกีฬาสำหรับคนพิการหลายประเภทจากทั่วโลก หรือกีฬาพาราลิมปิก (Paralympic Games)
ทั้งนี้ กสทช.ได้ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สําคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป เมื่อปี 2555 หรือที่คนในวงการโทรทัศน์เรียกว่า “Must Have”
โดยกฎดังกล่าวมีขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการโทรทัศน์ที่มีคุณภาพอย่างเป็นธรรม และเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของคนด้อยโอกาสให้เข้าถึงหรือรับรู้และใช้ประโยชน์จากรายการของกิจการโทรทัศน์ได้อย่างเสมอภาคกับบุคคลทั่วไป
นอกจากนี้ มีกฎควบคู่กันคือมัสต์ แครี่ (Must Carry) ที่ผู้ถือลิขสิทธิ์จะต้องให้ผู้ชมได้รับชมผ่านทางทุกแพลตฟอร์ม
กฎดังกล่าวเป็นการบังคับให้แพลตฟอร์มบริการโทรทัศน์ทุกรายที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. นำช่องฟรีทีวี ไปออกอากาศในทุกช่องทาง ทั้งทางเสาอากาศ จานดาวเทียม เคเบิลทีวี และช่องทางออนไลน์ โดยต้องออกอากาศต่อเนื่องตามผังรายการของแต่ละสถานี ไม่มีจอดำเกิดขึ้นในบางรายการ
กฎ Must Have และ Must Carry มีผลบังคับใช้กับกิจการโทรทัศน์และรายการที่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ กสทช. กำหนด
ยกตัวอย่าง การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ซึ่งเป็นรายการถ่ายทอดสด ตามกฎ Must Have คือ ต้องมีการถ่ายทอดสดทางฟรีทีวี ไม่สามารถเลือกถ่ายทอดได้เฉพาะทางทีวีดาวเทียม ทีวีบอกรับสมาชิก (Pay TV)
ขณะเดียวกัน การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกทางฟรีทีวี ต้องถ่ายทอดสดในทุกช่องทางการรับชม ทั้งเสาโทรทัศน์ (หนวดกุ้ง-ก้างปลา) ทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี และช่องทางทีวีออนไลน์ (Over-The-Top) ที่ได้รับใบอนุญาตโครงข่ายจาก กสทช. ตามกฎ Must Carry โดยไม่มีการจอดำ หรือตัดสัญญาณออกอากาศเกิดขึ้น
แม้กฎ Must Have และ Must Carry จะช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการฟรีทีวีได้อย่างเท่าเทียมก็จริง แต่เรื่องดังกล่าวก็สร้างความปวดหัวให้ผู้ถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬามาแล้ว
ย้อนไปเมื่อปี 2557 อาร์เอส (RS) ผู้ได้รับสิทธิการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย ยื่นฟ้อง กสทช. เพราะพบความไม่เป็นธรรมในการบังคับให้ผู้ถือลิขสิทธิ์ปฏิบัติตามกฎ Must Have
สุดท้าย เรื่องราวจบด้วยการที่ ศาลมีคำพิพากษา ไม่ต้องถ่ายทอดสดครบทุกนัด เนื่องจากเป็นการได้สิทธิการถ่ายทอดสด ก่อนมีการบังคับใช้กฎ Must Have
หลังจากกรณีบอลโลกที่อาร์เอสถือลิขสิทธิ์แล้ว ฟุตบอลโลกใน 2 ครั้งที่ผ่านมา คือปี 2561 และ 2565 ไม่มีธุรกิจคอนเทนต์เจ้าไหนเข้าไปติดต่อซื้อเลย โดยฟุตบอลโลก 2018 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ติดต่อให้ภาคเอกชน 9 ราย ร่วมลงขันซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด มูลค่าสูงถึง 1,600 ล้านบาท และมีทรูวิชั่นส์ เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์หลักในประเทศไทย และออกสิทธิผู้ถือลิขสิทธิ์ย่อยให้กับช่องทีวีดิจิทัลที่ถ่ายทอดสดต่อ
ส่วนฟุตบอลโลก 2022 ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงแค่ประมาณ 16 วัน ก่อนเปิดสนาม (นับจากวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565) ยังไม่มีเอกชนเจ้าไหนเข้าไปลงทุนซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดเลย แม้แต่เจ้าเดียว และอาจกลายเป็นว่า กสทช.จะต้องลงทุนซื้อลิขสิทธิ์มาถ่ายทอดสดเอง