
นโยบายที่โอบรับการลงทุนจากต่างชาติ และความพยายามในการเป็น Financial Hub ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทำให้ “สิงคโปร์” ดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากเหล่าบิ๊กเทคได้เรื่อย ๆ และมักเป็นตัวเลือกแรก ๆ ในการสร้าง “ฐานทัพ” เพื่อขยายตลาดไปยังประเทศที่อยู่รอบข้าง
เช่นเดียวกับ “อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส” (Amazon Web Services : AWS) ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก ที่ยังใส่เงินลงทุนในสิงคโปร์ต่อเนื่อง ตั้งแต่การตั้งศูนย์ข้อมูล AWS Asia Pacific Region มูลค่า 1.15 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (2.93 แสนล้านบาท) ถึงปี 2023 พร้อมขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเดิมอีก 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (3 แสนล้านบาท) ภายในปี 2028
ยังไม่หมด ยังรวมไปถึงการเช่าพื้นที่กว่า 3.6 แสนตารางฟุต บนตึก IOI Central Boulevard เพื่อตั้งออฟฟิศแห่งที่ 2 ใจกลางย่าน CBD ที่สามารถรองรับพนักงานได้ถึง 3,000 คน หลังจากในปี 2021 ที่ผ่านมา เพิ่งเปิดออฟฟิศแห่งแรกในย่าน Asia Square ไปแล้ว ถือเป็นส่วนที่เพิ่มเติมจากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์
เปิดศูนย์นวัตกรรมแห่งแรก
ไฮไลต์สำคัญของออฟฟิศแห่งใหม่นี้ อยู่ที่ “AWS Innovation Hub” เป็นศูนย์นวัตกรรมแห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยจะเป็นพื้นที่ให้ซีอีโอ และผู้นำธุรกิจในภูมิภาคนี้ได้เข้ามาสัมผัส และทดลองใช้เทคโนโลยีล่าสุดจาก AWS และ Amazon รวมไปถึงโซลูชั่นจากพันธมิตรกว่า 30 ราย และกรณีศึกษาในการประยุกต์ใช้จากองค์กรต่าง ๆ มากกว่า 50 เคส
ศูนย์นวัตกรรมครอบคลุมเนื้อที่กว่า 8,000 ตารางฟุต แบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ 1.โซนสร้างแรงบันดาลใจ (Aspiration Zone) ที่จะได้สัมผัสประสบการณ์จากเทคโนโลยีที่กำลังปฏิวัติวงการธุรกิจ และสังคม เช่น Generative AI การประมวลผลควอนตัม และเทคโนโลยีโลกเสมือน
2.โซนเร่งการเติบโต (Acceleration Zone) จัดแสดงนวัตกรรมล่าสุดของ AWS เช่น ชิปประมวลผล Graviton, Inferentia, Trainium และ AWS Outposts ระบบที่ช่วยให้องค์กรใช้งานโครงสร้างพื้นฐานของ AWS ได้อย่างไร้รอยต่อ
และ 3.โซนลงมือทำ (Action Zone) หรือ Working Backwards Studio ที่ใช้เครื่องมือวางแผนพิเศษอย่าง Vision Builder ที่ทำงานด้วย Amazon Nova มาช่วยสรุปไอเดียในภาพรวมจากการพูดคุย เพื่อให้องค์กรเห็นภาพความเป็นไปได้ทางธุรกิจและวางแผนการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับนวัตกรรมที่จัดแสดงจะหมุนเวียนไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี เช่น AI-Verified Fresh ระบบตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต, บริการประชาชนแบบดิจิทัล ที่ทำร่วมกับ Accenture และการค้าปลีกแบบเฉพาะบุคคล ที่สามารถออกแบบสินค้าได้จากข้อมูลความสนใจของลูกค้า หรือความนิยมในตลาด และ Virtual Try-On ทดลองเสื้อผ้าก่อนซื้อจริง เป็นต้น
เชื่อมสัมพันธ์ APAC-AWS
“เจม วอลเลส์” รองประธาน AWS ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และญี่ปุ่น กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมา AWS ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาทักษะของคนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมถึงสิงคโปร์อย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์นวัตกรรมแห่งใหม่ที่ลงทุนเพิ่มเติมอีกหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ คือการตอกย้ำความสำคัญของภูมิภาคนี้ที่มีต่อบริษัทในระยะยาว
AWS ตั้งเป้าว่าในแต่ละปีจะมีผู้บริหารระดับสูงและผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจจากหลากหลายประเทศ เช่น อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และอื่น ๆ กว่า 1,000 คน เข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมด้านคลาวด์ และ Generative AI พร้อมไปกับการเปิดโอกาสให้นักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาในสิงคโปร์ จำนวน 200 คน ได้เข้ามาร่วมเรียนรู้ด้วย
“ผมทำงานที่ Amazon เกือบ 9 ปี สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานและทำให้ Amazon แตกต่าง คือวัฒนธรรมการสร้างนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทุกอย่างเริ่มต้นจากความต้องการของลูกค้า ศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้จะแสดงให้เห็นว่า Amazon สร้างการเปลี่ยนแปลงระยะยาวให้กับองค์กรต่าง ๆ ได้อย่างไร”

โครงการ AI Springboard
นอกจากเปิดศูนย์นวัตกรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว วันเดียวกัน (26 มิ.ย. 2568) AWS ยังประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ “AI Springboard” สำหรับเสริมศักยภาพสตาร์ตอัพ เอสเอ็มอี และบริษัทขนาดใหญ่กว่า 300 แห่งในสิงคโปร์ ให้พัฒนาโซลูชั่น AI สร้างการเติบโตทางธุรกิจภายใน 12 เดือนข้างหน้า
โดย AWS จะมอบเครดิตคลาวด์และการสนับสนุนการฝึกอบรมสูงสุด บริษัทละ 600,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (15.2 ล้านบาท) แบ่งเป็นเครดิตคลาวด์และการฝึกอบรม มูลค่า 350,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (8.8 ล้านบาท) อีก 250,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (6.3 ล้านบาท) เป็นเครดิตคลาวด์เพิ่มเติมที่มีให้ผ่านโปรแกรมสนับสนุนของ AWS สำหรับบริษัทที่ผ่านคุณสมบัติ เช่น โปรแกรม AWS Migration Acceleration ที่ช่วยให้องค์กรชดเชยต้นทุนเริ่มต้นในการย้ายเวิร์กโหลดไปยังคลาวด์ และ AWS Lift ที่ให้การสนับสนุนทางเทคนิคและทางการเงินเพื่อเร่งการนำคลาวด์มาใช้
นอกจากนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ภายใต้ความรับผิดชอบของ Digital Industry Singapore (DISG) ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศ ยังสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่ปรึกษา 70% โดยกำหนดเพดานไว้ที่บริษัทละ 105,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (2.6 ล้านบาท) หมายความว่าตัวเลขรวมสูงสุดที่แต่ละบริษัทจะได้รับเท่ากับ 705,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (17.9 ล้านบาท)
เสริมเขี้ยว AI สไตล์สิงคโปร์
“โล เยียน หลิง” รัฐมนตรีอาวุโส กระทรวงการค้า และอุตสาหกรรม ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า ภายใต้นโยบายยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ 2.0 รัฐบาลเร่งการพัฒนาและการนำ AI มาใช้ในทุกภาคส่วน และได้เปิดตัวหลายโครงการเพื่อสนับสนุนบริษัทที่มีระดับความพร้อมต่างกันบนเส้นทางการใช้ AI
“นายกรัฐมนตรีได้ประกาศโครงการ Enterprise Compute Initiative หรือ ECI เพื่อรองรับบริษัทกลุ่มนี้ไว้ในปีงบฯ 2025 นับเป็นโครงการที่พร้อมผลักดันขีดความสามารถด้าน AI โดยให้การสนับสนุนเฉพาะเจาะจงเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ตัวต้นแบบ (Minimum Viable Product : MVP)”
สำหรับโครงการ AI Springboard ของ AWS เป็นโครงการ ECI ที่เปิดตัวเป็นลำดับที่ 2 เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์ และมีหมายเลขนิติบุคคลเฉพาะ (UEN) ที่ถูกต้อง ให้พัฒนาโซลูชั่น AI ที่ทันสมัย และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในอนาคต โดยบริษัทที่ร่วมโครงการสามารถทำงานร่วมกับพันธมิตรที่ปรึกษา เช่น PwC, Temus และ AiRTS เพื่อขอรับคำแนะนำในการพัฒนาโซลูชั่นระยะเริ่มต้นได้
ไม่เฉพาะโครงการนี้ รัฐบาลยังมีการสนับสนุนผ่านโครงการอื่น ๆ เช่น SMEs Go Digital ของ Infocomm Media Development Authority (IMDA) ที่ช่วยให้เริ่มต้นใช้โซลูชั่น AI สำเร็จรูปได้ ผ่านการสนับสนุนจาก Productivity Solutions Grant (PSG) และการอัพเดตแผนดิจิทัลในแต่ละอุตสาหกรรม (Industry Digital Plans : IDPs) ครอบคลุมถึงการใช้เครื่องมือ AI ในกรณีต่าง ๆ ที่ในปีนี้จะขยายไปยังอุตสาหกรรมอาหารและโรงแรมด้วย
“นอกจากการสนับสนุนจากภาครัฐแล้ว สิ่งที่สำคัญมาก ๆ คือผู้ประกอบการต้องมีแรงผลักดันจากข้างใน มีใจเรียนรู้ พร้อมศึกษาความสำเร็จจากผู้ที่ใช้ AI ขับเคลื่อนธุรกิจมาก่อนด้วยตนเอง”
บิ๊กมูฟเมนต์ของ AWS และโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทำให้เราได้เห็นว่า หมู่เกาะเล็ก ๆ ที่สร้างประเทศมาได้แค่ราว 60 ปี ยกระดับขึ้นเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อย่างไร