ผ่ามุมมอง “มั่นคงแก็ดเจ็ท” “อีคอมเมิร์ซ” โอกาสหรือปัญหา

สัมภาษณ์

มีชื่อเสียงในวงการ “หูฟัง” มายาวนาน สำหรับ “มั่นคงแก็ดเจ็ท” และน่าจะเป็นรายแรก ๆ ที่บุกเบิกการขายหูฟังราคาเรือนหมื่นผ่านช่องทางออนไลน์ (munkonggadget.com) ก่อนที่ตลาดหูฟัง และสมรภูมิ “อีคอมมิร์ซ” ในบ้านเราจะบูมสุด ๆ

“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ 2 ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ “มั่นคงแก็ดเจ็ท” “เฮียมั่น-กมล พูนทรัพย์” และ “เฮียเบียส-อัฐพงษ์ เอี่ยมไพบูลย์”

Q : ขายของออนไลน์ยุคนี้ยาก

ยุคก่อนต้องมานะล้วน ๆ ยากตรงหาลูกค้า เฟซบุ๊กยังไม่มี และผู้บริโภคยังไม่เชื่อถือโฆษณา แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไป คนไม่สนว่าน่าเชื่อถือไหม ขอแค่ให้ได้เห็น ยุคนี้จึงยิ่งยากมีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อก่อนเราไม่เคยใช้งบฯการตลาด แต่ปีที่แล้วต้องใช้หลักหมื่น ปัจจุบันใช้ 4 แสนบาท/เดือน เพื่อให้คนเห็นเรา ก็พยายามปรับว่าจะทำยังไงกับมาร์เก็ตติ้ง เพราะทุ่มเงินไป คนที่ได้ประโยชน์ คือ เฟซบุ๊ก, กูเกิล

Q : มาร์เก็ตเพลซทำลายตลาด ?

ADVERTISMENT

ตั้งแต่มาร์เก็ตเพลซมา ตลาดเปลี่ยนไป แม้จะขายของง่าย ไม่ต้องมีเว็บไซต์ เอง แต่ไม่ใช่จะขายได้ง่าย ห้างใหญ่ยังขายบนมาร์เก็ตเพลซ ทำให้คนรู้สึกว่าถ้าขายออนไลน์ คือ ขายบนมาร์เก็ตเพลซ

ดังนั้น มาร์เก็ตเพลซกำลังกระทบคนไทยทั้งหมด ในอนาคตจะเหลือแค่ผู้เล่นรายใหญ่ไม่กี่ราย ตอนนี้เว็บไซต์และร้านค้าออฟไลน์อยู่ยาก เพราะแพลตฟอร์มพวกนี้เขาสร้างความคุ้นเคยให้คนซื้อของที่ตัวเองไม่อยากได้ด้วยการทุ่มโปรโมชั่นดึงดูด กลายเป็นว่าทุกคนรอโปรโมชั่น 9 เดือน 9 10 เดือน 10

ADVERTISMENT

อนาคตต่อไป ร้านจะเป็นแค่ที่โชว์สินค้า และไปหาซื้อบนมาร์เก็ตเพลซเพราะถูกกว่า ถามว่าผิดไหม ไม่ผิด แต่อยากให้รัฐบาลเข้ามาควบคุมบ้าง อย่างต่างประเทศยังมีกฎระเบียบ ส่วนโซเชียลคอมเมิร์ซมีเยอะแต่เป็นเหมือนตลาดนัดมากกว่า ซื้อมาขายไป ไม่มีสต๊อก

Q : ทางรอดของผู้ประกอบการ

ถ้าเป็นแบบนี้คงไม่รอด เรียกยอดขายกลับมายาก โดนตัดตอนไปเรื่อย ๆ ก็ต้องดิ้นกันไป ปกติเราโตปีละ 20% ปีนี้มองว่ายาก เราปิดสาขาที่ประตูน้ำกับสยาม เดิมมี 7 สาขา ตอนนี้เหลือ 5 สาขา เพราะโลเกชั่นไม่ตอบโจทย์แบรนด์ก็พับแผนขยายสาขา รวมถึงแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย

Q : ไม่ขายบนมาร์เก็ตเพลซ

ทุกรายชวนเราหมด แต่ไม่ไป เพราะไม่อยากไปพึ่งโปรโมชั่นเขา ถ้าวันหนึ่งเขาเปลี่ยนไป เราก็ตาย ตอนนี้มีผู้ขายบนนั้นเยอะมาก แต่มีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่ขายดี ดังนั้น ขอทำเองดีกว่า เรามั่นใจในช่องทางของตัวเอง แต่ถ้าขายของบนแพลตฟอร์ม คนจะไม่จำ แต่จะจำแพลตฟอร์ม แม้ซื้อของกับเรา กว่าจะสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง นาน จะไปฝากแบรนด์กับคนอื่นทำไม อนาคตแม้ไม่มีทางเลือก เราก็จะเลือกทำแบบนี้

Q : ตลาดหูฟังยังเติบโต

แก็ดเจตต่าง ๆ รวมทั้งหูฟังเติบโตขึ้นทั่วโลก ในไทยก็เช่นกัน แต่ไม่มีใครเก็บตัวเลขชัดเจน สินค้าพวกนี้โตตามสมาร์ทโฟน และไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยน ต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น บางคนออกกำลังกายก็อยากได้หูฟังดี ๆ หรือดูซีรีส์ฟังเพลงตอนเดินทาง ตอนนี้หูฟังออกมาตอบโจทย์ความต้องการได้หลากหลาย แนวโน้มที่เห็นตอนนี้ คือ กำลังนิยมแบบไร้สายมากขึ้น ยอดขายอยู่ที่ 20-30% ต่อไปแบรนด์จะแข่งกันที่ไร้สายและเสียงดี เพราะปัจจุบันคุณภาพเสียงยังสู้แบบมีสายไม่ได้ กว่าจะถึงจุดนั้นน่าจะอีก 2-3 ปี

ที่ร้านเรามีแบรนด์หูฟังกว่า 20 แบรนด์ มีราคาหลักร้อยจนถึงหลักล้านบาท แต่ที่ขายดีจะอยู่ที่ 2,000-15,000 บาท

Q : อุปสรรคของตลาดแก็ดเจต

การแข่งขันของไทยไม่สูง เพราะทุกรายนำเข้าแบรนด์ไม่ให้ชนกัน ถ้าจะมีปัญหาเป็นเรื่องกำแพงภาษีที่ไม่เป็นธรรมกับบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ต้องเสีย 7% แต่จีนไม่มีภาษี ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาในตลาดโดยไม่มีการควบคุม เกิดอีกปัญหาคือ “ของปลอม” โดยเฉพาะของจีนที่ตั้งนอมินี ในไทย มาขายของปลอม บางรายเอารูปเราไปโฆษณาด้วย ตอนนี้ระบาดมากในเฟซบุ๊ก เพราะเขาเห็นพฤติกรรมคนไทยที่เปลี่ยนไป คือ ชอบเสี่ยง อยากได้ของดี ราคาถูก แม้ได้ของปลอมก็ไม่รู้จะทำไงปล่อยไป ทำให้ทอนกำลังซื้อหมด สุดท้ายปัญหาใหญ่สุดยังเป็นมาร์เก็ตเพลซที่มาขายตัดราคาร้านทุกราย

Q : แผนต่อไปของมั่นคงฯ

ตอนนี้สัดส่วนออนไลน์อยู่ที่ 20% เราพยายามจะผลักดันช่องทางออนไลน์ต่อไป จะแตกไลน์สินค้าอื่นนอกจากหูฟัง โดยเฉพาะเกมมิ่งเกียร์ เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด อาจได้เห็นในปีนี้ เพราะเป็นเทรนด์ รวมไปถึงสินค้าแก็ดเจตอื่น ๆ เช่น โดรน เพราะสินค้าพวกนี้มาร์เก็ตเพลซทำอะไรไม่ได้ ต้องมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำ หรือมีราคาสูง จึงต้องการความมั่นใจ ซึ่งคนยังเชื่อมั่นในการบริการของมั่นคงฯ ที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล มีบริการหลังการขาย เกือบ 100% ของลูกค้าเรากลับมาซื้อซ้ำ ถ้าไม่ใช่ตรงนี้ เราคงอยู่ไม่ได้นานแล้ว