400 สตาร์ตอัพ ยื่น 7 ข้อเรียกร้อง “บิ๊กตู่”ทำเนียบรัฐบาล 1 พ.ย.

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้ ตนและสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(สนช.) จะนำผู้แทนวิสาหกิจเริ่มต้นหรือสตาร์ทอัพ จากสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทย สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย สมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ ประมาณ 400 คน เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไข พัฒนาและสนับสนุนใน 7 ประเด็นสำคัญที่เป็นข้อติดขัดของสตาร์ทอัพหรือการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดยควรมีกฎหมายหรือพระราชบัญญัติเฉพาะที่ครอบคลุม อาทิ 1.ภาครัฐควรส่งเสริมให้การจัดตั้งและประกอบกิจการวิสาหกิจเริ่มต้นในประเทศเป็นไปอย่างสะดวก โดยควรมีการจัดตั้งหน่วยงานที่กำกับดูแลวิสาหกิจเริ่มต้นโดยเฉพาะการจัดตั้งหน่วยงานบริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: “OSS”) เพื่ออำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือในการจัดตั้งธุรกิจวิสาหกิจเริ่มต้น ซึ่งหน่วยงานรูปแบบนี้จะลดระยะเวลาและความยุ่งยากในการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ รวมทั้งจัดให้มีระบบศูนย์กลางข้อมูลและการให้บริการต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องผ่านการประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ 2.ภาครัฐควรให้การสนับสนุนทางการตลาดรวมไปถึงการขยายกิจการวิสาหกิจเริ่มต้นไปยังต่างประเทศ ทั้งตลาดภาครัฐ ตลาดภาคเอกชนและตลาดความร่วมมือระหว่างประเทศ 3.ภาครัฐควรให้การสนับสนุนเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีทักษะสูงต่อระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นในไทย โดยอาจสนับสนุนในรูปแบบของการให้งบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐเป็นค่าตอบแทนในการฝึกงานในวิสาหกิจเริ่มต้นหรือการให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี

รัฐมนตรีวท.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ 4.ภาครัฐควรสนับสนุนให้การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาโดยให้ความช่วยเหลือแก่สถาบันการศึกษาที่คิดค้นนวัตกรรมหรืออาจจัดตั้งกองทุนสำหรับสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงโดยจัดสรรงบประมาณไว้สำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ 5.ภาครัฐควรส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการระดมทุนของวิสาหกิจเริ่มต้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน 6.ภาครัฐควรส่งเสริมให้มีการสร้างสังคมผู้ประกอบการโดยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะและความรู้ด้านเทคโนโลยีและความเป็นผู้ประกอบการรวมถึงสนับสนุนให้ผู้คนในทุกช่วงอายุให้สามารถเป็นผู้ประกอบการได้และ 7.ภาครัฐควรให้การสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมและการจัดตั้งหน่วยงานที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดยควรให้มีกฎหมายที่เอื้ออำนวยให้เกิดการทดสอบและพัฒนานวัตกรรมและมีระบบโครงสร้างพื้นฐานของระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นในภาพรวมระดับประเทศ อาทิ กฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว กฎหมายบริษัทจำกัดและข้อจำกัดอื่นๆ เช่น ข้อจำกัดในเรื่องของการแปลงหนี้เป็นทุน การเสนอขายหุ้นให้แก่บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ผู้ถือหุ้นเดิม เป็นต้น ทั้งยังควรจัดให้มีศูนย์วิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติเพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการติดต่อให้ข้อมูลและบริการภายในระบบนิเวศของวิสาหกิจเริ่มต้น โดยข้อเสนอแนะที่มีต่อภาครัฐ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นในประเทศไทยในปี 2563 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเพื่อเป็นประเทศสตาร์ทอัพ

“จะเห็นได้ว่าในแต่ละประเทศได้มีการออกกฎหมาย รวมถึงนโยบายช่วยเหลือและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นด้วยเล็งเห็นว่าธุรกิจรูปแบบนี้จะนำมาซึ่งความก้าวหน้าทางนวัตกรรมให้แก่ประเทศของตนและมีบทบาทในระดับโลก ซึ่งการสนับสนุนต่าง ๆ ของแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันไปตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของประเทศนั้น ๆ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมแก่ประเทศของตนมากที่สุด สำหรับประเทศไทยนั้นมีการวางรากฐานทางกฎหมายต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามยังปรากฏข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการดึงดูดนักลงทุนซึ่งถ้าสามารถแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้ อาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น” นายสุวิทย์ กล่าว

 

 

ที่มา  มติชนออนไลน์