เลือกตั้งหนุนโซเชียลยิ่งบูม เฟซบุ๊กอิ่มตัว”วิดีโอ”มาแรง

“ไวซ์ไซท์” ชี้เฟซบุ๊กเริ่มอิ่มตัว เทรนด์โฆษณา “วิดีโอสั้น” มาแรง สื่อโซเชียลกลายเป็นเครื่องมือหาเสียงเลือกตั้ง ย้ำแบรนด์ต้องดึงข้อมูลใช้ประโยชน์สร้างโอกาสจากการเติบโต

นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากการเก็บข้อมูลโซเชียลมีเดียในปีนี้ พบว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทยมีส่วนร่วม (เอ็นเกจเมนต์) ราว 2.9 ล้านครั้ง/วัน มีข้อความกว่า 5.3 พันล้านข้อความ เฉลี่ย 10,000 ข้อความ/นาที เติบโตขึ้น 47% จากปีที่ผ่านมา ขณะที่ภาพรวมของโซเชียลมีเดีย พบว่าเฟซบุ๊กเติบโต 4-5% ซึ่งมองว่าอิ่มตัวแล้ว ทวิตเตอร์เติบโต 34% มีผู้ใช้ 16 ล้านคน แอ็กทีฟ 7.02 ล้านคน ส่วนอินสตาแกรมผู้ใช้ลดลง 1.5%

“ข้อมูลบนโซเชียลเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ 1 ใน 10 เป็นเรื่องของแบรนด์ ที่เหลือเป็นเรื่องของเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ดังนั้นแบรนด์อาจจะต้องคิดแคมเปญที่จะใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ส่วนปีหน้าโซเชียลมีเดียจะบิดไปเรื่อย ๆ แต่ละแอปจะมีฟีเจอร์ที่ทำให้ผู้ใช้เสียเวลามากขึ้นเพื่อที่จะขายโฆษณา เช่น วิดีโอแอดสั้น ๆ ประมาณ 6 วินาทีที่จะขึ้นมาคั่นระหว่างชมวิดีโอในเฟซบุ๊ก ดังนั้นเทรนด์โฆษณาใหม่ ๆ ในปีหน้าคือวิดีโอแอดสั้น ๆ รวมทั้งแนวโน้มของแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่มาแรง และเริ่มมี “ออริจินอลคอนเทนต์” ในประเทศนั้น ๆ จึงเริ่มเห็นบิสซิเนสโมเดลใหม่ที่แทรกตัวเพื่อทำการตลาดของแบรนด์”

นอกจากนี้การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้ามีแนวโน้มที่จะใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการเข้าถึงประชาชนมากขึ้น ดังนั้นโซเชียลมีเดียจะยิ่งเป็นช่องทางสำคัญ แต่ทั้งแบรนด์และผู้ใช้ชาวไทยยังไม่รู้เท่าทัน

“ตอนนี้เทรนด์ผู้ใช้จะแท็กเพื่อนโดยไม่คอมเมนต์ ดังนั้นเราจะทำหน้าที่ตีความให้กับแบรนด์ ขึ้นอยู่กับว่าแบรนด์จะใช้ประโยชน์กับข้อมูลยังไง เขาต้องฟังและวิเคราะห์ เพราะแบรนด์ที่พูดตรงใจคน ผู้ใช้ก็อยากจะไปติดตามต่อ ซึ่งตอนนี้ธุรกิจที่ใช้ข้อมูลโซเชียลเยอะคือแบงก์ อสังหาฯ รถยนต์ และบิวตี้ ส่วนภาคราชการก็เริ่มหันมาใช้ เพราะอยากเข้าใจประชาชน”

ภาพรวมของบริษัทรายได้ยังคงเติบโต 20-30% ล้อไปกับการเติบโของโซเชียลมีเดียที่เติบโต 20-30% โดยปีหน้าอาจมีการเพิ่มทุนเพื่อขยายธุรกิจให้เร็วขึ้น ทั้งยังเน้นพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใน 2 ส่วนคือ 1.ใช้เครื่องมือของแพลตฟอร์ม 2. AI ที่พัฒนาเอง โดยบริษัทจะเน้นเรื่องคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้ AI เรียนรู้ เพราะตอนนี้คนไทยบัญญัติศัพท์ใหม่อยู่ตลอด นอกจากนี้ต้องเข้าใจภาษาเพื่อนบ้านด้วย เพราะบริษัทเปิดออฟฟิศที่มาเลเซียได้ประมาณปีกว่า สำหรับรับลูกค้าต่างชาติที่โดยเฉพาะ ซึ่งช่วง 1 ปีมีอัตราการเติบโตที่สูงมาก เนื่องจากฐานยังเล็กอยู่