การก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืน “ทรัพย์สินทางปัญญา” คืออีกหัวใจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อน เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. ได้จัดเสวนา “ทำอย่างไรให้ทรัพย์สินทางปัญญากลายเป็นทุนที่มีมูลค่า” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญในวงการธุรกิจมาให้คำแนะนำ
“ยิ่งยง ตันธนพงศ์พันธุ์” ที่ปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญา สำนักงานเทคโนโลยี บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCG) เปิดเผยว่า ทรัพย์สินทางปัญญา หรือ IP (intellectual property) ที่สำคัญมี 4 ประเภท ได้แก่ 1.สิทธิบัตร (patent) คือ สิทธิ์ผูกขาดของนวัตกรรมนั้น ๆ ระยะเวลาคุ้มครองประมาณ 10-20 ปี โดยการขอต้องผ่านหลักเกณฑ์หลายข้อ เช่น ความใหม่ สามารถประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสาหกรรม
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
2.ความลับทางการค้า (trade secret) เป็นสิ่งที่เป็นความลับ สิ่งที่ทำให้ได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เช่น สูตรผสมเครื่องดื่มของ Coke และต้องมีระบบจัดเก็บด้วย
3.ลิขสิทธิ์ (copyright) เช่น ผลงานเพลง วรรณกรรม งานเขียน ผลงานที่สร้างสรรค์ โดยจะคุ้มครองจนกว่าจะเสียชีวิต และคุ้มครองหลังเสียชีวิตอีก 50 ปี
4.เครื่องหมายการค้า (trademark) เช่น โลโก้หรือข้อความ ปัจจุบันคุ้มครองไปจนถึงรูปแบบการตกแต่งร้าน
ช่วงปี 2518 มูลค่าธุรกิจ 83% มาจากทรัพย์สินที่จับต้องได้เป็นหลัก (tangible assets) เช่น ที่ดิน เครื่องจักร อาคาร แต่ในปัจจุบัน 87% มาจากทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ (intangible asset) เช่น IP
“ฟิลิปส์ เป็นบริษัทที่สร้างรายได้จากสิทธิบัตรเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แค่เฉพาะสิทธิบัตรหน้าจอ LED ก็มีมหาศาล มีกว่า 700 บริษัทใช้ไลเซนส์นี้ ทำให้เห็นชัดว่าการมีสิทธิบัตรเยอะเป็นข้อได้เปรียบ แม้ว่าบริษัทจะเจ๊ง แต่ยังขายลิขสิทธิ์ได้ การทำธุรกิจต้องสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง การเร่งสร้าง IP จึงเป็นการสร้างรายได้ในระยะยาว”
ปัจจุบันประเทศไทยมีสถิติการจด IP เป็นอันดับที่ 40 ของโลก เติบโต 67.6% จากอันดับที่ 54 ในปี 2559 ขณะที่ประเทศจีนยังคงเป็นที่ 1 ติดต่อกัน 7 ปี มี 1.38 ล้านฉบับ คิดเป็น 40% ของโลก ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา 6.06 แสนฉบับ ญี่ปุ่น 3.18 แสนฉบับ เกาหลีใต้ 2.04 แสนฉบับ และสหภาพยุโรป 1.66 แสนฉบับ
เมื่อก่อนจีนเป็นประเทศที่ล้าหลังกว่าไทย แต่ปัจจุบันประเทศจีนมีบริษัทชั้นนำจำนวนมาก เช่น หัวเว่ย, เสียวหมี่ จนตอนนี้ก้าวไปสู่การเป็นเจ้าของ IP เป็นผู้ถือเทคโนโลยีในมือไปฟ้องร้องคนอื่น จากที่เมื่อก่อนเป็นผู้ที่ก๊อบปี้เทคโนโลยีคนอื่น ดังนั้นจะเห็นว่าแม้แต่ประเทศจีนตอนนี้ก็ให้ความสำคัญกับ IP
ในส่วนของการประเมินมูลค่าของบริษัทนอกเหนือจาก IP แล้วยังต้องมีองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ, market data/network, มีแบรนดิ้ง ดังนั้น ไม่ใช่แค่ IP ที่ต้องนำมาประเมินมูลค่า แต่ต้องนำหลาย ๆ ส่วนมาประกอบ และต้องคิดไว้เสมอว่า สิ่งที่ลงทุนไปเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่มูลค่าทั้งหมดที่มี ปัจจุบันทั่วโลกมีตลาดในการขายสิทธิบัตร มีตลาดแลกเปลี่ยนสิทธิบัตร ตอนนี้นักลงทุนก็จะหันมาประเมินทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้น ซึ่งทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาพยายามจะทำให้เกิดขึ้น โดยกำลังทำคู่มือประเมินมูลค่าอยู่ ดังนั้น ถ้าบริษัทที่มีทรัพย์สินทางปัญญา ก็จะสามารถนำไปยื่นขอเงินกู้ หรือมีนักลงทุนที่สนใจมาลงทุนได้
“ก่อนจะประเมินว่า IP มีมูลค่าอย่างไร ต้องดูก่อนเลยว่ามีความพรีเมี่ยมอย่างไร เช่น แอปเปิลที่สามารถตั้งราคาขายได้สูงกว่าคู่แข่งและสร้างมาร์เก็ตแชร์ในตลาดอย่างไร ช่วยสร้างมาร์เก็ตแชร์
ได้มากกว่าคู่แข่งอย่างไร ถ้า IP ยังไม่สามารถตอบโจทย์ 2 ส่วนนี้ได้ ถึงสามารถตีมูลค่าได้”
โดยการตีมูลค่าอาจจะต้องดูราคากลางในตลาด, การสร้างรายได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในไทยอาจจะทำได้ยาก เพราะตลาดซื้อขายไม่ค่อยมี ทำให้เปรียบเทียบยาก ดังนั้น การประเมินจากรายได้ในอนาคตจะนิยมมากกว่า โดยใช้กว่า 80-90% ของการประเมิน ซึ่งการประเมินนี้ก็จะมีหลายปัจจัยรวมกัน ทั้งการตกลงของผู้ซื้อผู้ขาย การใส่แฟกเตอร์ต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ ที่สร้างแล้วแต่ยังไม่ฉาย โดยอาจจะประเมินจากความสำเร็จของผู้สร้าง แต่คนซื้อก็มีสิทธิ์ต่อรอง
ด้าน “ดร.ชวลิต กมลสถิตกุล” ผู้จัดการทรัพย์สินทางปัญญา SCG กล่าวเสริมว่า การประเมินมูลค่าต้องดูจากทั้งการทำโมเดลธุรกิจ รายได้เบื้องต้น ต้นทุน กำไร แผนอนาคต 5 ปี ค่าความภักดีต่อแบรนด์ของลูกค้า (loyalty rate) เช่น Coca-Cola ที่สามารถขายแพงกว่าบริษัทน้ำรายอื่น เพราะมีแบรนดิ้ง มีสูตรลับ มีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แพ็กเกจจิ้ง ซึ่งทั้งหมดคือ intangible asset
แล้วเทียบกับแบรนด์ที่ไม่มีชื่อ จากนั้นดูจากยอดขายปริมาณ ดูปริมาณผู้บริโภค เพื่อประเมินรายได้ในอนาคต หาเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ มีการวัดจากต้นทุน และประเมินความเสี่ยงของบริษัทเป็นส่วนลด ดังนั้น การซื้อขาย IP เป็นเหมือนการทำ forecasting อย่างไรก็ตาม การหามูลค่าของ IP หรือบริษัทอาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของธุรกิจ
ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!